วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บทสัมภาษณ์ : เปิดใจ"ประวิช"ผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ ชงแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดความขัดแย้งการเมือง



จาก: Kittiya Sophonphokai <kittiya@ombudsman.go.th>
วันที่: 20 ธันวาคม 2554, 12:29
หัวเรื่อง:  บทสัมภาษณ์ : เปิดใจ"ประวิช"ผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ ชงแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดความขัดแย้งการเมือง
ถึง: 

 

 

กิตติยา โสภณโภไคย

นักวิชาการอาวุโสระดับสูง

สำนักส่งเสริมมาตรฐานจริยธรรม

สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

'  0 2141 9277  7 0 2143 8373

* kittiya@ombudsman.go.th or

 sophon_kit@hotmail.com

 

 

 

  

 

 


 

รายละเอียดข่าว

                                      เปิดใจ"ประวิช"ผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ ชงแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดความขัดแย้งการเมือง

                                      วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:33:00

 

 

 

 

หลังจากการประชุมวุฒิสภามีการประชุมเพื่อโหวตเลือกผู้ที่ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน   ชื่อ "ประวิช รัตนเพียร"  ได้รับคะแนนเสียง 109 ต่อ 4 งดออกเสียง 2 คะแนน

"ประวิช" เล่นการเมืองมาตั้งแต่ ปี  2531 ยุค พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรี
เป็นศิษย์เก่า เซนต์คาเบียล รุ่นเดียวกับ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ  เป็นรัฐมนตรี 2 สมัย เคยเป็นผู้แทนการค้าไทย 
ธุรกิจครอบครัวคือ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิตและโรงเรียนสองภาษาแห่งใหม่

เป็น ส.ส. คนหนึ่งที่เคยผ่านการ "รัฐประหาร"  2 ครั้งล่าสุด ตั้งแต่ รสช. ปี 2535 จนมาถึงยุคคมช. 2549
  

"ครั้งแรกที่ผมโดนปฎิวัติ ผมเล่นการเมืองต่อเพราะสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ชวนไปอยู่พรรคการเมืองใหม่ของพล.อ. ชาติชาย คือพรรคชาติพัฒนา แต่ครั้งล่าสุดผมไม่ไหวขอยุติบทบาททางการเมืองเพียงเท่านี้"  

 

ก่อน "ประวิช" จะลั่นวาจาว่า 6 ปีจากนี้ จะทำงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้ดีที่สุด เป็นงานสุดท้ายก่อนวางมือ  

ใครมาชวนให้เล่นการเมืองอีกก็ไม่ไปแล้ว รอบนี้ผมใจแข็ง(ครับ)

 

สุดสัปดาห์นี้ "ประวิช" เพื่อน "สุวัจน์" ได้ให้สัมภาษณ์กับ "มติชนออนไลน์ดังนี้

 

ทำไมถึงอยากมาเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน

          ตอนนั้นผมคิดอยู่นานว่า อยากจะช่วยเหลือประชาชนต่อ แต่แน่นอนก็ต้องยุติบทบาททางการเมือง นึกอยู่นานว่าจะนำความรู้ที่มีมาช่วยเหลือประชาชนอย่างไร ก็เลยได้คำตอบว่า มาอยู่องค์กรอิสระที่คอยรับเรื่องร้องทุกข์จากพี่น้องประชาชนดีกว่า ก็เลยเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน


ผู้ตรวจการฯ ไม่มีดาบ เป็นแค่เสือกระดาษ  เสนอแต่เปเปอร์ ทำอะไรได้

          ผมยอมรับครับว่าที่ผ่านมา ภาพของผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีแต่คอยส่งรายงาน ยื่นแผ่นกระดาษไม่มีอำนาจอื่นใด สั่งการอะไรก็ไม่ได้ แต่เรารู้บทบาทของตัวเองว่า บทบาทของเราคือ ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างภาคประชาชนในการร้องเรียนปัญหากับภาครัฐ ดังนั้นสิ่งที่เราทำก็คือให้ประชาชนสามารถติดต่อหรือยื่นข้อร้องเรียนกับเรา ให้ง่ายและสะดวกขึ้น  แล้วโครงสร้างของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินก็ออกแบบให้รับเรื่องร้องเรียน จากประชาชนมาตั้งแต่ต้น ซึ่งองค์กรลักษณะแบบนี้ก็เป็นองค์ที่มีทั่วโลก

          เดี๋ยวนี้ลักษณะการถ่วงดุลอำนาจระหว่างนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารจะห่าง กัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกันมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีองค์กรอิสระที่ไม่ฝักฝ่ายใดทำหน้าที่ในการรับเรื่องร้อง เรียนจากประชาชนแทนอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร ไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการแต่งตั้งทนายให้มีความยุ่งยาก ไม่ต้องเขียนแบบฟอร์มให้เสียเวลา แต่สามารถยื่นเรื่องโดยการโทรสายด่วน 1676  หรือส่งจดหมาย หรือมายื่นเรื่องได้โดยตรง

ดัชนีชี้วัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของผู้ตรวจการฯ ว่าทำงานคุ้มค่าภาษีประชาชนคืออะไร
          ความพึงพอใจของประชาชนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเฉพาะหน้ามากที่ สุดเพราะว่าประชาชนจะบอกต่อหน้าเราได้อย่างชัดเจน เคยมีการสำรวจจากประชาชนเลยว่า องค์กรอิสระองค์กรไหนที่พึ่งได้ในการรับเรื่องร้องเรียน ช่วยเหลือประชาชน องค์กรของเราก็ได้เป็นอันดับหนึ่ง โดยได้คะแนนถึงร้อยละ 60  แต่นั่นไม่ใช่จุดที่ผมใฝ่ฝัน ที่ผมใฝ่ฝันคือ การที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อเสนอไปยังสภาแล้วดูว่ามีกี่เรื่องที่ ได้รับการแก้ไขจริงๆ จนนำไปสู่ความพึงพอใจของพี่น้องประชาชน

ผู้ตรวจการฯ มี 3 ท่าน แบ่งงานกันทำอย่างไร

          กฎหมายรัฐธรรมนูญออกแบบให้ทั้ง 3 คนนี้ทำงานอิสระต่อกัน ไม่ใช่รูปของคณะกรรมการ แต่ก็มีการเลือกประธานกันเองซึ่งก็มีบทบาทแค่ลงนามบังคับใช้กฎระเบียบต่าง ๆหรือเป็นตัวแทนของสำนักงานในการร่วมรัฐพิธี แต่ในการทำงานนั้นแยกออกจากกัน โดยการแบ่งงานในเบื้องต้น ถ้าเป็นคำร้องที่มีต่อหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจหรือสำนักงานในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด จึงมีเรื่องร้องเรียนมากที่สุด คนที่ดูแลจะเป็น "ผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ" ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้ดูแล

          ส่วน "ศ.ศรีราชา เจริญพานิช" จะดูแลเรื่อง เกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน ผังเมือง ป่าสงวน สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านกำลังทำอยู่และโดดเด่นมากๆ คือ กรณีวังน้ำเขียวซึ่งจะมีการคุยกันในวันที่ 5 เดือนหน้า ในส่วนผมที่มาน้องใหม่นั้นจะดูแลเรื่อง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ซึ่งดูเหมือนผมจะทำเยอะ แต่จริงๆ แล้วไม่เยอะเลย ผมจึงต้องรับบทบาทสำคัญซึ่งเป็นพันธกิจใหม่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินคือ เรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ทำหน้าที่แก้ไขหรอกนะครับ แต่คอยเป็นแกนกลางในการรับฟังเสียงต่างๆ รวมถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ ข้อดี ข้อเสียของกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งของปี 2540 กับ ปี2550

หยิบเรื่องรัฐธรรมนูญมาเป็นประเด็นทีไรทะเลาะกันทุกที พวกหนึ่งก็เอาฉบับปี  40 อีกพวกก็เอาปี 2550

          นั่นแหละครับมันถึงต้องมีองค์กรหรือหน่วยงานในการรวบรวมข้อดี-ข้อเสีย ของรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ปี เอามาเปรียบเทียบกันชัดเป็นข้อๆ เลย ซึ่งเรามีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้ว อีกทั้งก็มีหลายหน่วยงานที่มีข้อมูลเหล่านี้อยู่ จึงไม่ต้องเสียเวลาไปทำวิจัยให้เสียงบประมาณ ในส่วนที่สองนั้นเราทำก็คือ การรวบรวมความเห็นของนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักกฎหมายต่างๆ ที่มีต่อรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ ในส่วนสุดท้ายก็คือข้อเสนอของเราเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งมาจากการ รวบรวมข้อมูลของสองส่วนแรก

 

มีธงอยู่ในใจหรือไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ

          ไม่มีครับ   หน้าที่ของเราคือทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูล เพื่อทำรูปเล่มเป็นอีกข้อเสนอหนึ่งเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผมมองว่าสิ่งที่เราทำอยู่เกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล ข้อวิจารณ์ที่เป็นเหตุผล เป็นงานวิชาการในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นรายงานที่ใช้เพื่อ เป็นแหล่งอ้างอิงของคนที่จะใช้เพื่อเป็นเหตุผลในการแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ ก็ได้ ควรการตัดสินใจคงอยู่ที่อำนาจนิติบัญญัติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 


แก้ไขรัฐธรรมนูญทุกครั้งเป็นเรื่องประโยชน์นักการเมือง เป็นรัฐธรรมนูญที่กินไม่ได้

          อย่าลืมนะครับว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็มาจาก สสร. ที่มาจากภาคประชาชน ดังนั้นจะบอกว่าเป็นประโยชน์ของนักการเมืองฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ อีกทั้งองค์ประกอบรัฐธรรมนูญทั้งของปี 2540 และ ปี 2550 ก็มีหลายมาตราที่ออกมาเพื่อคอยตรวจสอบการทำงานของภาคการเมืองโดยเฉพาะ องค์กรที่เป็นกลางก็เกิดจาก รัฐธรรมนูญปี 2540 หลายองค์กรก็มาจากตัวแทนภาคประชาชน

 

ผู้ตรวจราชการมี "สี" ไหม

          มีไม่ได้ครับ  ไม่งั้นทำงานยาก เราต้องมองประชาชนให้เท่าเทียมกัน ไม่มองว่า คนนั้นคนนี้ฝักใฝ่ฝ่ายไหน ไม่เลือกข้างในการรับเรื่องร้องเรียนและช่วยเหลือประชาชน  ไม่ว่านักการเมืองฝ่ายไหนมาสะกิด ให้ช่วยเหลืออะไร ผมขอบอกว่า ผมใจแข็งครับ

 

คนทั่วไปมองว่า คุณยังมีภาพของนักการเมือง
          ยอมรับว่าผู้คนอาจจะคิดได้เพราะผมอยู่ในวงการเมืองมาเป็นเวลามานาน แต่หลังจากปี 2549 ผมก็ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ข้องแวะใดๆ ทางการเมืองอีก ซึ่งก็ตรงตามกติกาของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินเพราะต้องไม่ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 3 ปี  ใครมาสะกิดชวนไปลงส.ส. ก็ไม่ขอไปลงเลือกตั้งอีก  ใจแข็งครับ ผมขอยืนยัน


เป็นนักการเมืองกับเป็นผู้ตรวจฯ อะไรดีกว่ากัน

          แตกต่างครับ เพราะทำงานการเมืองต้องอิงอยู่กับนโยบายของพรรคซึ่งมันก็มีข้อจำกัดอยู่ใน ตัวเอง แต่ถามว่าอยู่ตรงไหนมีความสุขมากกว่ากัน ผมตอบได้เลยว่า การมานั่งอยู่จุดนี้ผมมีความสุขมากกว่าเพราะไม่ต้องไปกังวลกับนโยบายของ รัฐบาล ไม่ต้องกังวลว่า เรื่องที่ทำอยู่นั้นจะมีผลกระทบต่อพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่  มาอยู่จุดนี้ สิ่งที่ผมคำนึงอย่างเดียวคือ พี่น้องประชาชน


ปีหน้า 2555 สภาพการเมือง-เศรษฐกิจ จะเป็นอย่างไรต่อไป

          น่าเป็นห่วงครับ ในฐานะที่ผมเคยทำงานเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจมาก่อน มองเลยว่า ไตรมาสแรกน่าจะค่อนข้างแย่  อยากให้ประเด็นหลักของประเทศอยู่ที่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ เยียวยาพี่น้องที่เดือดร้อน จะดึงภาคอุตสาหกรรมมาลงทุนในประเทศอย่างไร เพราะไม่มีใครรู้ว่าปีหน้าฝนจะตกน้ำจะท่วมรึเปล่า แต่อย่างน้อยเราควรวางแผนเยียวยากันตั้งแต่ตอนนี้

 

มองกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ม.112 อย่างไร 

ควรแก้ไขหรือคงไว้อย่างนี้ดีแล้ว

          ในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ประเทศไทยมีการปกครองแบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขดัง นั้นประเทศไทยมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายหรือมาตรการรองรับในส่วนของเรา สังคมต้องวินิจฉัยว่า ประเทศเราไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนประเทศอเมริกา... (หยุดคิด) หลายประเทศก็ยังมีโทษเฆี่ยนอยู่ใช่ไหมครับดังนั้นจะเอาบริบทของสังคมไทยไป วิจารณ์ก็คงไม่ได้เพราะประเทศนั้นอาจจะมองว่ากฎหมายเฆี่ยนของเขาเหมาะสมกับ สังคมก็เป็นได้

"กฎหมายมาตรานี้มันก็มีพัฒนาการมาจากการ ปกครองของเรา ประเทศไทยมีความชัดเจนอยู่แล้วว่าเรามีลักษณะเฉพาะ ไม่เหมือนใคร เพราะเราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นหลัก" ประวิช กล่าวปิดท้าย

 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น