วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

“การปฏิรูปนโยบายและกฎหมาย เพื่อลดการผูกขาดและสนับสนุนการแข่งขันในเศรษฐกิจไทย”

 "การปฏิรูปนโยบายและกฎหมาย
เพื่อลดการผูกขาดและสนับสนุนการแข่งขันในเศรษฐกิจไทย"
กฎหมายการแข่งขันทางการค้าของประเทศไทย
ประเทศไทยมีการบังคับใช้ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ มาแล้วเป็นเวลากว่า ๑๒ ปี หากแต่ยังไม่เคยมีการกล่าวโทษ หรือ ดาเนินคดีแก่ผู้ประกอบการแม้แต่รายเดียว ซึ่งในหลายกรณีนั้นแม้จะมีความผิดที่ชัดเจนแต่ขาดหลักเกณฑ์ทางกฎหมายบังคับใช้ ทาให้ผู้บริโภคในสังคมไทยไม่ได้รับความเป็นธรรมในการบริโภคสินค้า ขณะเดียวกันผู้ประกอบการด้วยกันก็ไม่ได้รับการแข่งขันที่เป็นธรรม
อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์หลักเครือข่ายวิชาการเพื่อการปฏิรูป ภายใต้งานสมัชชาเฉพาะประเด็นที่ต้องการนาเสนอ คือ  เราไม่ได้อยากให้ทุกอุตสาหกรรมต้องมีการแข่งขัน"เสรี" แต่ที่แน่ๆ ต้องมีการแข่งขันที่ "เป็นธรรม" ในระหว่างคู่ค้าที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งแต่ละ sector ก็จะมีธรรมชาติ และรายละเอียดของความเป็นธรรมที่ต่างกัน)  เราอยากเห็น การแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะเราอยากให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค และเป็นการสร้างความเข้มแข็งของคู่ค้าอย่างกว้างขวาง แทนที่จะจากัดอยู่ในบางกลุ่ม  สิ่งที่เรากาลังเสนอ ไม่ใช่กลไกรับเรื่องร้องเรียน และทา ruling ว่า เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม หรือไม่ แต่เป็นกลไกของสังคม (กลไกที่เป็นกลาง และมองเชิงรุก) เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็น ธรรม รวมทั้ง challenge นโยบายรัฐ ที่อาจจะจากัดการแข่งขัน หรือแม้กระทั่งสนับสนุนการดาเนินการ ที่เป็นการสร้างความไม่เป็นธรรม ทางการค้า (โดยไม่จาเป็น)
สภาพปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าไทย
ความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าเกิดจากปัจจัยที่หลากหลายซึ่งเชื่อมโยงกัน โดยรากเหง้าของปัญหาเกิดมาจาก ๖ สาเหตุหลัก ดังต่อไปนี้
(๑) ปัญหาในเชิงองค์กร
โครงสร้างและที่มาของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า1 มีความเสี่ยงต่อการแทรกแซงทางการเมือง และการถูกครอบงาโดยกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจ จากการศึกษาของ เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ กับ
1 มาตรา ๖ แห่งพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.๒๕๔๒ กาหนดให้มีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ประกอบด้วย
๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ
๒ ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นรองประธานกรรมการ
๓ ปลัดกระทรวงการคลัง
๔ ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ทางนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ การบริหารธุรกิจหรือการบริหารราชการแผ่นดิน มีจานวนไม่น้อยกว่าแปดคนแต่ไม่เกินสิบสองคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยต้องแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นกรรมการ
๕ อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นกรรมการและเลขานุการ
สุนีย์พร ทวรรณกุล (๒๕๔๙) พบว่า กรรมการการแข่งขันทางการค้าบางท่านมีความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับธุรกิจที่อาจมีพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม
สานักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าขาดความเป็นอิสระจากทางการเมือง ขาดหลักเกณฑ์ และขั้นตอนในการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใส และไม่มีบทบาทในการกาหนดแนวนโยบายเพื่อสนับสนุนการแข่งขัน นอกจากนี้ยังขาดความเป็นอิสระด้านการเงินเนื่องจากเป็นหน่วยงานภายใต้การกากับดูแลของกระทรวงพาณิชย์
(๒.) ปัญหาการดาเนินการ
ความผิดพลาดในเชิงโครงสร้างของสานักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าและคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าทาให้การบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าไม่ได้รับการสนับสนุนและไม่มีพัฒนาการในการบังคับใช้กฎหมายแต่อย่างใดในช่วง ๑๒ ปีที่ผ่านมา
(๒.๑) ขาดหลักเกณฑ์ประกอบในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น เกณฑ์การควบรวมธุรกิจ (Merge), เกณฑ์ วิธี และเงื่อนไขในการขออนุญาตกระทาการรวมธุรกิจ หรือร่วมกันลดหรือจากัดการแข่งขัน, แนวทางในการบังคับใช้มาตรา ๒๙ ว่าด้วยการห้ามพฤติกรรมใดๆที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practices) และการขาดกฎระเบียบประกอบการบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น
(๒.๒) การขาดงบประมาณและทรัพยากรบุคคลที่พอเพียง
การดาเนินการของสานักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าถูกจากัดด้วยความจากัดทางงบประมาณ โดยได้รับงบประมาณเพียงปีละ ๒-๓ ล้านบาทเท่านั้น นอกจากนี้การขาดแคลนบุคลากรก็ยังเป็นอุปสรรคสาคัญอีกประการหนึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากสานักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ามีสถานภาพที่เป็นหน่วยราชการ การดึงดูดนักเศรษฐศาสตร์ และนักกฎหมายที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายการแข่งขันทางการค้าจึงเป็นสิ่งที่ทาได้ยาก และบุคลากรมักถูกดึงตัวไปปฏิบัติหน้าทื่อื่นๆที่รัฐบาลให้ความสาคัญมากกว่า
การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในกฎกระทรวง ซึ่งมีข้อกาหนดดังนี้
ข้อ ๑
- สาเร็จการศึกษาไม่ต่ากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขา นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ และทางานหรือเคยทางานที่ต้องใช้ความรู้ดังกล่าวมาไม่น้อยกว่า ๕ ปี
- รับราชการหรือเคยรับราชการในตาแหน่งไม่ต่ากว่ารองอธิบดีหรือเทียบเท่า
- เป็นหรือเคยเป็นประธานกรรมการ ผู้อานวยการ ผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งมีอานาจจัดการธุรกิจไม่น้อยกว่า ๕ ปี
ข้อ ๒ ในการเสนอชื่อให้
- สภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมเสนอรายชื่อแห่งละ ๕ ชื่อเพื่อให้ สนง. ตรวจสอบคุณสมบัติให้ รมว. พาณิชย์คัดเลือก 2-3 คน
- กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เสนอชื่อแห่งละ ๒-๓ คน เพื่อให้ รมว.พาณิชย์เสนอชื่อเป็นกรรมการ
(๓.) ปัญหาของกฎหมาย
(๓.๑) กฎหมายไม่ครอบคลุมพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมของรัฐวิสาหกิจ
ประเทศไทยมีรัฐวิสาหกิจอีกจานวนหนึ่งที่ประกอบกิจการในเชิงพาณิชย์โดยแข่งขันโดยตรงกับผู้ประกอบการ โดยรัฐวิสาหกิจาง งย งมีอานาจผูกขาดทางกฎหมาย ทาให้คู่แข่งมีสถานภาพเพียง "ผู้รับสัมปทาน" หรือ "ผู้ร่วมการงาน" กับรัฐวิสาหกิจเหล่านี้เท่านั้น มิได้เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโดยตรง รัฐวิสาหกิจเหล่านี้สามารถสร้างรายได้จากการเก็บ "ค่าต๋ง" จากการให้สัมปทานแก่ผู้ประกอบการเอกชนโดยที่ไม่ต้องลงทุนใดๆ ในขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานผูกขาดก็สามารถสร้างกาไรได้อย่างงามจากการผูกขาด โดยผู้ที่เสียประโยชน์จากระบบดังกล่าวก็คือ ผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภคที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงจากราคาสินค้าหรือค่าบริการที่แพงเกินควร
การผูกขาดตลาดโดยรัฐวิสาหกิจเป็นประเด็นที่น่าห่วงใยอย่างยิ่งเนื่องจาก มาตรา ๔ แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ กาหนดว่ากฎหมายไม่บังคับใช้กับรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการทางงบประมาณ2 ซึ่งหมายความว่า ปัญหาการผูกขาดที่เกี่ยวเนื่องกับรัฐวิสาหกิจจะไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาแต่อย่างใด
(๔.) บทลงโทษไม่เหมาะสม
บทลงโทษตามพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นบทโทษทางอาญา โดยกาหนดโทษจาคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖ ล้านบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ (มาตรา ๕๑) และในกรณีที่กระทาความผิดซ้าต้องระวางโทษเป็นทวีคูณ แต่กรณีมีโทษปรับหรือจาคุกไม่เกิน ๑ ปี คณะกรรมการมีอานาจเปรียบเทียบปรับแทนได้3 อย่างไรก็ตามยังขาดบทลงโทษาง กคร ง ร น ทาให้กระบวนการเอาผิดผู้ละเมิดกฎหมายการแข่งขันทางการค้าใช้เวลานาน นอกจากนี้ยังไม่มีการพิจารณาลงโทษตามความรุนแรงของการกระทาผิดอันจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการไม่มีพฤติกรรมละเมิด
(๕.) ภารกิจของสานักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าขาดการเชื่อมต่อกับประชาชน
สานักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าของประเทศไทยมีกรอบภารกิจที่ค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ เนื่องจากมิได้ปฏิบัติภารกิจในส่วนของการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่เกี่ยวโยงโดยตรงกับผู้บริโภค เช่น การโฆษณาที่ไม่เป็นจริง การกาหนดโปรโมชั่นในลักษณะที่เป็นการหลอกลวงผู้บริโภค การกากับดูแลสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ฯลฯ เนื่องจากบทบัญญัติในส่วนนี้มิได้อยู่ในกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า หากแต่อยู่ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งสานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สานักนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติภารกิจในส่วนนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้บริโภคทั่วไปจึงมิได้ให้ความสาคัญแก่กฎหมายฉบับนี้เพราะมองว่าเป็นกฎหมายที่มุ่งใช้เฉพาะสาหรับปัญหาข้อพิพาทระหว่างธุรกิจด้วยกันเองเท่านั้น
2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการและ/หรือรัฐวิสาหกิจมีทุนอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละ ๕o
3 มาตรา ๕๖ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษปรับหรือจาคุกไม่เกิน ๑ ปี ให้คณะกรรมการมีอานาจเปรียบเทียบได้ ในการใช้อานาจดังกล่าวคณะกรรมการอาจมอบหมายให้คณะอนุกรรมการ เลขาธิการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทาแทนได้
เมื่อผู้ต้องหาได้ชาระเงินค่าปรับตามจานวนที่เปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่กาหนดแล้วให้ถือว่าคดีเลิกกันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(๖.) การขาดบทบาทในการสนับสนุนการแข่งขันทางการค้า (Competition Advocacy)
แม้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าของไทยอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นการจากัดการแข่งขัน เช่น การใช้อานาจเหนือตลาด การรวมธุรกิจกัน หรือการรวมหัวกันระหว่างผู้ประกอบการ แต่กฎหมายการแข่งขันของไทยไม่สามารถจัดการกับนโยบายของรัฐหรือการออกกฎระเบียบของรัฐที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันได้ เช่น การกาหนดอัตราภาษีนาเข้าสูง การจากัดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบกิจการในไทย การให้บัตรส่งเสริมการลงทุนที่มีเงื่อนไขเอื้อให้นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่เข้ามาได้ และการดาเนินนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่อาจเกิดผลกระทบต่อสังคมวงกว้าง คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าจึงจาเป็นต้องร่วมมือกับภาครัฐในการเสนอแนะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันของประเทศด้วย โดยเฉพาะนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ต้องให้คาแนะนาและร่วมศึกษาว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจใดจะเป็นการถ่ายโอนอานาจการผูกขาดจากรัฐไปเป็นการผูกขาดโดยเอกชน ซึ่งจะเกิดผลเสียต่อประชาชนโดยทั่วไป จึงควรยับยั้งการแปรรูปในกิจการดังกล่าว นอกจากนี้ควรมีบทบาทในการให้คาปรึกษาผู้ประกอบการหรือคู่ค้าที่มีอานาจต่อรองหรือข้อมูลน้อยกว่า เช่น เกษตรกรในระบบเกษตรพันธะสัญญา เป็นต้น
ความท้าทายในอนาคตที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญ
นอกเหนือจากเหตุผลและสถานการณ์ปัญหาดังกล่าวข้างต้น ประเทศไทยกาลังจะเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น จากการเข้าร่วม ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ อันจะส่งผลให้มีผู้ประกอบการจากประเทศสมาชิกเข้ามาแข่งขันในระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิรูปพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.๒๕๔๒ เพื่อสร้างบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์ในการควบคุมการแข่งขันทางการค้าที่กว้างขวางขึ้นนี้ ให้ดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และก่อให้เกิดประโยชน์สุงสุดแก่ผู้บริโภคในประเทศ
ทางออกของปัญหา
๑. แปลงสภาพสานักงานการแข่งขันทางการค้าให้เป็นองค์กรอิสระ เพื่อให้ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง
๒. ยกเลิกข้อยกเว้นจากข้อบังคับใช้กฎหมายที่ให้แก่รัฐวิสาหกิจตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้คณะกรรมการจัดทาหลักเกณฑ์ในการพิจารณาพฤติกรรมที่มีการร้องเรียนของรัฐวิสาหกิจว่าอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายหรือไม่
๓. ปรับปรุงบทลงโทษให้เน้นมาตรการทางปกครองและทางแพ่งมากกว่าการลงโทษทางอาญา โดยให้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้ามีหน้าที่กาหนดบทลงโทษทางปกครองและทางแพ่ง และทาหน้าที่ส่งฟ้องคดีความทางอาญา ทั้งนี้การคิดค่าเสียหายทางแพ่งควรเป็นจานวนเท่ากับความเสียหายที่ประเมินได้
๔. ขยายกรอบภารกิจของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ให้มีอานาจหน้าที่ในการเสนอข้อคิดเห็นต่อหน่วยงานรัฐต่างๆ ในการออกกฎ ระเบียบ และนโยบายของภาครัฐที่จะมีผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด นอกจากนี้ และมีหน้าที่ให้คาปรึกษา ช่วยเหลือผู้ประกอบการหรือคู่ค้าที่มีอานาจการต่อรองหรือข้อมูลน้อยกว่า เช่น เกษตรกรในระบบเกษตรพันธะสัญญา เป็นต้น

[สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 13 เกาะติด...สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4



จาก: National Health Commission <nationalhealth@nationalhealth.or.th>
วันที่: 29 กันยายน 2554, 18:12
หัวเรื่อง: [สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 13 เกาะติด... สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4
ถึง: 


ฉบับที่ 13 เกาะติด...สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4

Printer-friendly   version
 
ชมการถ่ายทอดสดทาง www.healthstation.in.th
 
    สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.)
    ชั้น 3 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ติวานนท์ 14 หมู่4 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
    โทร. 02-832-9000 โทรสาร 02-832-9001

    www.nationalhealth.or.th | www.healthstation.in.th
 

Unsubscribe from this newsletter





วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

มติวิปรัฐบาลเห็นชอบให้รัฐบาลยืนยันกฎหมายต่อไปรวม 17 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร่าง ที่เสนอโดยภาคประชาชน

ข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- อังคารที่ 20 กันยายน 2554 01:49:30 น.
เมื่อวันที่ 19 กันยายน นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานกรรมการประสานงานรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล เปิดเผยภายหลังการประชุมวิปที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ที่ประชุม ได้หยิบยกกฎหมายค้างเก่า ที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาสมัยที่แล้วมาพิจารณาว่าจะส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรียืนยันการคงไว้ พิจารณาของรัฐสภาต่อไปหรือไม่ ซึ่งตามกระบวนการจะต้องยืนยันภายใน 60 วัน หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลหากไม่ยืนยันจะทำให้ร่างกฎหมายที่ค้างพิจารณาตกไปทันที 
โดยมติวิปรัฐบาลเห็นชอบให้รัฐบาลยืนยันกฎหมายต่อไปรวม 17 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร่าง ที่เสนอโดยภาคประชาชน สำหรับเรื่องงบประมาณ ปี 2555 นั้น รัฐบาลกำลังดำเนินการปรับตัวเลขให้สอดคล้องอยู่ แต่คงเสร็จเหลื่อมเวลาไปแน่นอนคือจะไม่ทัน 1 ตุลาคมนี้ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา น่าจะเข้าสภาฯวาระแรกได้ในช่วงต้นเดือนพ.ย. ตั้งคณะกรรมาธิการได้เดือนธ.ค.และสามารถใช้คือเบิกจ่ายงบประมาณได้ประมาณเดือน ก.พ. 2555 ระหว่างนี้ก็ใช้งบเบิกจ่ายปี 2554 ไปก่อน

ด้าน นายชลน่าน ศรีแก้ว เลขานุการวิปรัฐบาล กล่าวว่า วิปรัฐบาลจะยืนยันร่างกฎหมายที่เสนอโดยภาค ประชาชนทั้งหมดเพราะเห็นว่าเป็นการให้ความสำคัญ กับประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายกันแม้บางร่างจะมีปัญหากันอยู่ เช่น 

กฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายทาง การแพทย์ เนื่องจากขณะนี้เห็นว่ายังไม่มีการพิจารณา ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มแพทย์กับ กลุ่มผู้บริโภคตอนนี้ก็ยังถกเถียงกันอยู่ สภายังไม่ได้พิจารณา จึงสมควรคง ร่างเอาไว้ไม่อยากให้ตกไป เพราะประชาชนอุตส่าห์รวบรวมรายชื่อกันมาแล้วกว่าจะเอาเข้าได้ก็ต้องไปตรวจสอบชื่อว่าคนลงชื่อมีอยู่จริงหรือไม่ ถึงสามเดือนกว่าจะเข้ามาได้ก็ควรต้องคงไว้ แต่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มหมอกับภาคประชาชน ก็ค่อยมาคุยกันต่อไป นอกจากนี้กฎหมายที่เสนอโดยองค์กรอิสระเช่น ศาลปกครองที่มีความจำเป็นเช่น 

กฎหมายจัดตั้งศาลปกครองที่ต่างๆ อาทิ ภูเก็ต แบบนี้วิปรัฐบาลก็เห็นด้วย ที่ต้องคงกฎหมายขององค์กรอิสระเอาไว้

ส่วนกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะที่อยู่ในชั้นวุฒิสภา วิปรัฐบาลเห็นว่าไม่สมควรยืนยัน เพราะ

จากข้อมูลที่ได้จากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเองก็บอกว่ากฎหมายฉบับนี้มี ปัญหาความขัดแย้งมาก จาก การไปรับฟังความเห็นหลายฝ่ายหลายกลุ่มก็ไม่เห็นด้วย กับกฎหมายชุมนุมในที่สาธารณะ ซึ่งวิปรัฐบาลก็เห็นด้วย จึงไม่ยืนยันการคงไว้ของกฎหมายชุมนุมในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตามก็ต้องแล้วแต่คณะรัฐมนตรีวันอังคารนี้ว่า จะเอาด้วยหรือไม่ แล้วก็ต้องดูด้วยว่าเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาจะเห็นด้วยหรือไม่ คือยังไม่เสร็จที่ครม. เพราะสุดท้ายต้องไปดูในที่ประชุมด้วยตอนโหวตว่าจะคงไว้หรือให้ตกไป นพ.ชลน่านกล่าว

ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับร่างกฎหมาย 17 ฉบับ ที่วิปรัฐบาลเสนอให้ครม.ยืนยันในวันอังคารที่ 20 ก.ย. จากกฎหมายที่ค้างการพิจารณาอยู่ทั้งในชั้น

สว.-สส. และในระเบียบวาระประชุม 302 ฉบับ ที่น่าสนใจเช่น 

พ.ร.บ.สัญชาติ 

พ.ร.บ.องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึง กฎหมายที่เสนอโดยประชาชนหนึ่งหมื่นชื่อเข้าชื่อกันและมีปัญหาอยู่เช่น 

พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการ ใช้บริการทางการแพทย์

ส่วน นายไพจิต ศรีวรขาน รองประธาน วิปรัฐบาล กล่าวว่า จะเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเรื่องยาเสพติด ต่อสภาในวันพุธที่ 21 ก.ย. มีกรรมาธิการ 31 คน เป็นรัฐบาล 5 คน สส. 26 คน แบ่งเป็นพรรคเพื่อไทย 14 คน พรรคประชาธิปัตย์ 8-9 คน ที่เหลือเป็นพรรคอื่นๆ ในส่วนตัวแทนของรัฐบาลเห็นว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ หรือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม มีความเหมาะสมที่จะเป็นคณะกรรมาธิการ

http://www.ryt9.com/s/nnd/1239575

กระบวนการนิติบัญญัติไทย

 

กระบวนการนิติบัญญัติไทย

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้น รัฐสภาได้กลายเป็นสถาบันที่รวบรวมเอาเจตจำนงสูงสุดของประชาชนและเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (legislature) ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล องค์กรนิติบัญญัติอาจมีได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบสภาเดียว (unicameral system) และแบบสองสภา (bicameral system) ระบบของไทยในปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 (ฉบับแก้ไข) มีสองสภา คือสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งจำนวน 500 คน และวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งและจากการสรรหา รวม 150 คน โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา

พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้น โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ผู้มีอำนาจในการเสนอร่างพระราชบัญญัติมีด้วยกันทั้งสิ้น 4 ฝ่าย ได้แก่

  • คณะรัฐมนตรี
  • สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน
  • ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
  • ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อกันเพื่อเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

การเสนอร่างพระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรี เริ่มตั้งแต่กระบวนจัดทำร่างพระราชบัญญัติจากส่วนราชการ กระทรวง กรม หรือหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องนั้นๆ เป็นผู้จัดทำ โดยหน่วยราชการอาจใช้ข้าราชการหรือนิติกรภายในหน่วยงานเป็นผู้ร่าง หรืออาจว่าจ้างนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญให้จัดทำโครงการศึกษาวิจัยและมอบหมายให้ผู้วิจัยทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายขึ้นด้วยก็ได้

หรือในบางกรณีฝ่ายการเมืองอาจเป็นผู้ริเริ่มให้มีร่างพระราชบัญญัติใหม่หรือร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขกฎหมายเดิม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ร่างกฎหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องในทางนโยบายการบริหารประเทศ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการของร่างพระราชบัญญัติแล้ว ก็จะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางด้านการร่างกฎหมายของรัฐบาลเป็นผู้ตรวจพิจารณา คณะกรรมการกฤษฎีกาแบ่งแยกออกเป็นกรรมการร่างกฎหมายต่างๆ จำนวน 12 คณะ แต่ละคณะประกอบด้วยกรรมการร่างกฎหมายจำนวนประมาณ 9 คน การประชุมแบ่งออกเป็น 3 วาระ ได้แก่

  • วาระที่ 1 การพิจารณาหลักการทั่วไปและสาระสำคัญของกฎหมาย
  • วาระที่ 2 เป็นการตรวจพิจารณารายมาตรา โดยจะเป็นการตรวจพิจารณาทั้งในแง่เนื้อหากฎหมาย (content) แบบของกฎหมาย (format) รวมถึงถ้อยคำที่ใช้
  • วาระที่ 3 เป็นการตรวจพิจารณาความสมบูรณ์ของร่างพระราชบัญญัติทั้งฉบับ

เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะส่งร่างกฎหมายกลับไปที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ถ้าร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการตรวจพิจารณานั้นมีการแก้ไขเล็กน้อยหรือเป็นการแก้ไขตามแบบการร่างกฎหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) และสภาผู้แทนราษฎรต่อไปตามลำดับในระเบียบวาระ ยกเว้นในกรณีที่คณะรัฐมนตรีร้องขอไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ สภาพิจารณาร่างกฎหมายนั้นเป็นเรื่องด่วนซึ่งจะได้รับการพิจารณาก่อน การพิจารณาจะแบ่งเป็น 3 วาระตามลำดับ ได้แก่

วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ

ในวาระที่ 1 จะเป็นการพิจารณาว่าจะรับหลักการแห่งร่างกฎหมายนั้นหรือไม่ โดยให้ผู้เสนอร่างกฎหมายอภิปรายชี้แจงหลักการและเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎร กรณีเป็นร่างพระราชบัญญัติของคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงซึ่งรับผิดชอบร่างพระราชบัญญัติจะเป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติในนามคณะรัฐมนตรี จากนั้นจึงเปิดให้มีการอภิปรายคัดค้านหรือสนับสนุนโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อการอภิปรายสิ้นลงสุดแล้วที่ประชุมจะลงมติว่าจะรับหลักการแห่งร่างกฎหมายฉบับนั้นหรือไม่ ถ้าที่ประชุมมติรับหลักการก็จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 แต่ถ้าไม่รับหลักการ ร่างกฎหมายนั้นก็เป็นอันตกไป

วาระที่ 2 ขั้นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการและการพิจารณารายมาตรา

การพิจารณาในวาระที่ 2 สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้นตอน คือ การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ และการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

ในขั้นตอนแรก คือการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการ โดยมากจะเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและบุคคลภายนอกก็ได้ กรรมาธิการแต่ละคนอาจเพิ่มมาตราขึ้นใหมหรือตัดทอนหรือแกไขมาตราเดิมได แตตองไมขัดกับหลักการแห่งรางพระราชบัญญัตินั้น หากที่ประชุมคณะกรรมาธิการนั้นเห็นด้วยก็จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมไปตามนั้น แต่ถ้าคณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย และกรรมาธิการผู้นั้นยืนยันที่จะขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติม กรรมาธิการผู้นั้นก็มีสิทธิ "ขอสงวนความเห็น" ของตนไว้เพื่ออภิปรายในที่ประชุมสภาให้ที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด เมื่อคณะกรรมาธิการได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นโดยแสดงร่างเดิมและร่างที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งรายงานต่อประธานสภา

ขั้นตอนที่สอง คือการพิจารณารายมาตราในที่ประชุมใหญ่ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นอีกครั้ง ในการพิจารณานี้จะเป็นการพิจารณารายมาตราไปจนจบ ถ้ามีมาตราใดแก้ไขเพิ่มเติม หรือมีผู้สงวนคำแปรญัตติ หรือกรรมาธิการสงวนความเห็นไว้ ก็จะหยุดการพิจารณาไว้ก่อน และเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายเฉพาะในมาตรานั้นๆเท่านั้น หลังจากนั้นสภาจะพิจารณาทั้งร่างเป็นการสรุปอีกครั้งหนึ่ง

วาระที่ 3 ขั้นลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมาย

ในขั้นตอนนี้ที่ประชุมสภาจะลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมาย โดยจะไม่มีการอภิปรายใดๆ อีก หากลงมติเห็นชอบก็จะส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป แต่ถ้าผลการลงมติไม่เห็นชอบร่างกฎหมายก็จะตกไป

ในลำดับถัดมา สภาผู้แทนราษฎรจะเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภา วุฒิสภาจะมีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองร่างกฎหมายอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวุฒิสภาได้รับร่างนั้นแล้ว ก็จะดำเนินการโดยการแบ่งเป็น 3 วาระเช่นเดียวกับการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ วาระที่ 1 ขั้นพิจารณารับหลักการ วาระที่ 2 ขั้นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการที่วุฒิสภาตั้งหรือคณะกรรมาธิการเต็มสภา (พิจารณารายมาตรา) วาระที่ 3 ขั้นลงมติ โดยที่วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมาให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน เว้นแต่วุฒิสภาได้ลงมติขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษซึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน ถ้าวุฒิสภาพิจารณาไม่เสร็จภายในกำหนดเวลา ให้ถือร่างพระราชบัญญัตินั้นผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา

ผลการลงมติในวาระที่ 3 ของวุฒิสภามี 3 กรณีดังนี้

  1. ในกรณีที่เห็นชอบโดยไม่มีการแก้ไข ให้ถือได้ว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
  2. ในกรณีที่ไม่เห็นชอบ ต้องยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน แล้วส่งร่างคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งครบ 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจึงจะสามารถนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง
  3. ในกรณีที่วุฒิสภาให้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติ วุฒิสภาต้องส่งร่างกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร เมื่อสภาผู้แทนราษฎรรับทราบและเห็นชอบด้วยก็ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯได้ทันที แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบ ให้ทั้งสองสภาตั้งบุคคลที่มีจำนวนเท่ากันขึ้นเป็น "คณะกรรมาธิการร่วมกัน" เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นอีกครั้ง โดยต้องรายงานและเสนอร่างกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วต่อทั้งสองสภา ถ้าสภาทั้งสองเห็นด้วยกับเห็นชอบด้วย นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯได้ทันที แต่ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย ให้ยับยั้งร่างนั้นไว้ก่อน

ขั้นตอนสุดท้ายคือกระบวนการลงพระปรมาภิไธยโดยพระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรีจะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน หลังจากที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา หากพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบและทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ หากพระมหากษัตริย์ทรงไม่เห็นชอบและทรงใช้อำนาจยับยั้ง (veto) ร่างพระราชบัญญัตินั้นจะถูกส่งคืนมายังรัฐสภาโดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย หรืออาจทรงเก็บร่างนั้นไว้โดยไม่พระราชทานคืนมายังรัฐสภาจนล่วงพ้นเวลา 90 วัน ในกรณีนี้รัฐสภาจะต้องประชุมร่วมกันเพื่อปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดของทั้งสองสภา ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ อีกครั้งหนึ่ง หากพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยและทรงพระราชทานคืนมาภายใน 30 วันให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว

การเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 163 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น โดยกำหนดให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนสามารถเข้าชื่อกันเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการเกี่ยวข้องกับเรื่องที่บัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โดยร่างพระราชบัญญัติที่เสนอจะต้องจัดทำมีรายละเอียดที่จำเป็น ได้แก่

  1. บันทึกหลักการและเหตุผล และบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญ
  2. มีบทบัญญัติที่แบ่งเป็นมาตราชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจความประสงค์ของการเสนอร่างกฎหมาย
  3. มีหลักเกณฑ์หรือวิธีการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย (enforcing instrument)

วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายอาจกระทำได้ 2 วิธีคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเอง หรืออาจร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายก็ได้ ในกรณีที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเอง ให้ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภาโดยต้องมีเอกสารดังต่อไปนี้

  1. ร่างพระราชบัญญัติที่จะนำเสนอต่อสภา
  2. แบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อ ที่อยู่ ลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายและผู้แทนการเสนอกฎหมาย พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน

จากนั้นประธานรัฐสภาจะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารและประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ในขั้นตอนนี้ผู้ใดที่มีรายชื่ออยู่ในประกาศแต่มิได้ร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายด้วย สามารถยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภาหรือบุคคลที่รัฐสภาแต่งตั้งเพื่อให้ลบชื่อตนเองออกได้ภายในยี่สิบวันหลังจากวันปิดประกาศ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วให้ถือว่ารายชื่อนั้นถูกต้อง และจะถอนการเข้าชื่อในภายหลังอีกมิได้ ภายหลังการตรวจสอบความถูกต้องถ้ารายชื่อยังคงเกินกว่าหนึ่งหมื่นชื่อให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อไป แต่ถ้ารายชื่อเหลือไม่ครบหนึ่งหมื่นชื่อให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้ผู้แทนการเสนอกฎหมายทราบ เพื่อดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายเพิ่มเติมภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วรายชื่อยังไม่ครบหนึ่งหมื่นชื่อให้ประธานรัฐสภาสั่งจำหน่ายเรื่อง

ในกรณีที่เป็นการเข้าชื่อโดยการจัดการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนหนึ่งร้อยคนขึ้นไปยื่นคำขอต่อประธานกรรมการการเลือกตั้งพร้อมทั้งร่างพระราชบัญญัติที่จะเสนอให้สภาพิจารณา เพื่อขอให้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย จากนั้นประธานกรรมการการเลือกตั้งจะจัดส่งร่างพระราชบัญญัติและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด เพื่อดำเนินการให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดทราบว่ามีการเสนอกฎหมายในเรื่องใด และให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงชื่อในแบบพิมพ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ตามระยะเวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้ในจังหวัดที่ตนมีสิทธิเลือกตั้งที่กำหนด โดยที่กำหนดเวลาจะต้องไม่น้อยกว่า 90 วัน นับแต่วันประกาศ เมื่อครบกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดรวบรวมแบบพิมพ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมายส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายทั้งหมด จากนั้นจึงนำส่งร่างพระราชบัญญัติและบัญชีรายชื่อต่อประธานรัฐสภา

เมื่อร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้มีผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นผู้เสนอและชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และที่ประชุมวุฒิสภา และจะต้องมีผู้แทนของประชาชนฯ ที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นเข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติด้วยจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด เพื่อให้ผู้เสนอร่างกฎหมายได้มีโอกาสให้ชี้แจงและแสดงเหตุผลเพื่อปกป้องเจตนารมณ์ของร่างกฎหมาย หลังจากนั้นสภาก็จะพิจารณาร่างกฎหมายตามขั้นตอนปกติ

ช่องทางการติดตามร่างกฎหมาย

ประชาชนสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของร่างกฎหมายต่างๆ ได้จากหน่วยงานต่อไปนี้

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
ข่าววิทยุรัฐสภา
ราชกิจจานุเบกษา

นอกจากนี้ยังมีองค์กรสนับสนุนอื่นๆ อีกได้แก่

โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
การรับฟังความคิดเห็นกฎหมายไทย
คณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนากฎหมาย

http://thailawwatch.org/legislation-in-thailand/

เปิดบัญชีกม.293 ฉบับ รอยิ่งลักษณ์ชี้ชะตา

 

เปิดบัญชีกม.293 ฉบับ รอยิ่งลักษณ์ชี้ชะตา

ที่มา: โพสต์ทูเดย์ (2 สิงหาคม 2554)

โดย ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

นับหนึ่งอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป เป็นการเริ่มต้นการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ในฐานะหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยตามระบอบการเมืองการปกครองของไทย ความสำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติ คงจะหนีไม่พ้นการทำหน้าที่กลั่นกรองและพิจารณากฎหมายอันเป็นกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน

ล่าสุดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้สรุปบัญชีรายชื่อร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญและร่าง พ.ร.บ.ที่ค้างการพิจารณาในระหว่างอายุสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 23 ทั้งสิ้นจำนวน 293 ฉบับ ให้กับสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พิจารณาเสนอให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ที่จะมี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรกับกฎหมายที่ค้างสภาดังกล่าว

พิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อธิบายว่า การดำเนินการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ระบุว่า ในกรณีที่มีกฎหมายค้างการพิจารณาอยู่และถ้า ครม.ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปทำเรื่องร้องขอเข้ามาภายใน 60 วันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภานัดแรกเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาและมติต้องการจะพิจารณากฎหมายฉบับใดต่อตามขั้นตอนที่ค้างการพิจารณาอยู่ แต่ถ้า ครม.ไม่ได้ทำเรื่องร้องของภายในเวลาดังกล่าว

"หมายความว่าเมื่อมี ครม.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แล้วถ้าต้องการให้กฎหมายไหนเดินหน้าเข้าสู่การพิจารณาต่อจากที่ค้างเอาไว้เมื่ออายุสภาชุดที่แล้ว ต้องทำเรื่องเข้ามา เช่น ถ้าเล็งเห็นว่าต้องการพิจารณากฎหมายเดิมต่อ 200 ฉบับก็ต้องทำเรื่องเข้ามา ถ้าไม่ดำเนินการก็ให้ถือว่ากฎหมายนั้นตกไป ซึ่งทั้งหมดเป็นอำนาจการพิจารณาของ ครม." พิทูร กล่าว

สำหรับบัญชีกฎหมายค้างการพิจารณา 293 ฉบับ แบ่งเป็น 6 ลักษณะของขั้นตอนที่ค้างการดำเนินการ ดังนี้

                1.ร่าง พ.ร.บ.ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วมกัน 2 ฉบับ ได้แก่ 

(1) ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.. 

(2) ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการที่ดินสงวนหวงห้ามของรัฐ พ.ศ. มีสาระสำคัญ คือ ให้ยกเลิกการสงวนหวงห้ามที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของทางราชการทั้งหมด ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เพื่อให้โอกาสแก่ผู้เข้าถือครองที่ดินได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

               2.ร่าง พ.ร.บ.ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา 6 ฉบับ ประกอบด้วย 

(1) ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มีสาระสำคัญ คือ การจัดการชุมนุมต้องแจ้งต่อหัวหน้าสถานีตำรวจในท้องที่ที่จะจัดชุมนุมไม่น้อยกว่า 72 ชั่วโมงก่อนเริ่มชุมนุม 

(2) ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม มีสาระสำคัญ ขยายความคุ้มครองไปถึงลูกจ้างชั่วคราวทุกประเภทของส่วนราชการแก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่าลูกจ้างให้ครอบคลุมลูกจ้างทั้งหมด เพิ่มสิทธิประโยชน์ครอบคลุมภรรยาและบุตรของผู้ประกันตน 

(3) ร่าง พ.ร.บ.เงินทดแทน 

(4) ร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ 

(5) ร่าง พ.ร.บ.องค์กรอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และ 

(6) ร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ

               3.ร่าง พ.ร.บ.ที่คณะกรรมาธิการสภาฯ พิจารณาเสร็จแล้ว 4 ฉบับ 

(1) ร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพแพทย์แผนไทย (2) ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค 

(3.) ร่าง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (4) ร่าง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย

             4.ร่าง พ.ร.บ.ที่คณะกรรมาธิการสภาฯ พิจารณาเสร็จแล้วและรอการบรรจุระเบียบวาระ จำนวน 1 ฉบับ

             5.ร่าง พ.ร.บ.ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 1 ฉบับ คือ 

               ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

             6.ร่าง พ.ร.บ.ที่บรรจุระเบียบวาระเพื่อรอการพิจารณาในวาระที่ 1 ของสภาจำนวน 278 ฉบับ อาทิ 

                ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ร่าง พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป็นต้น

   กฎหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเห็นได้ว่าบางฉบับก็สอดคล้อง

  กับนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะด้านสวัสดิการสังคมและแรงงาน จึงขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลใหม่จะตัดสินใจอย่างไรต่อไป

http://thailawwatch.org/2011/08/25540802062/

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

ศาลปกครอง จี้ กสทช. ยกเลิกวันหมดอายุพรีเพด

 
ศาลปกครอง จี้ กสทช. ยกเลิกวันหมดอายุพรีเพด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กันยายน 2554 15:11 น.

       ศาลปกครองกลาง พิพากษา กทช. ทำงานล่าช้าสั่งเร่งพิจารณาแบบสัญญาภายใน ๙๐ วันแก้ปัญหา พรีเพดหมดอายุ ด้านว่าที่กสทช. ประวิทย์ ฝากการบ้านชุดใหญ่ จี้สำนักงานต้องขยับตัว แก้ปัญหาผู้บริโภคระบบเติมเงิน
       
       นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ว่าที่ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร โดยมีนายอนุภาพ ถิรลาภเป็นโจทย์ ยื่นฟ้อง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เนื่องจากโจทย์ได้รับความเสียหายจากการที่ กทช. ไม่มีการบังคับใช้ กฎหมายมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
       
       โดยการพิจารณาแบบสัญญาการให้บริการโทรคมนาคม ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จเพื่อบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่งผลให้การใช้บริการโทรศัพท์ระบบเติมเงินของผู้ร้องถูกกำหนดวันหมดอายุ และถูกระงับการใช้บริการ รวมถึงถูกยึดหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งใช้งานมากว่า ๑๐ ปี ขณะที่ผู้ให้บริการอ้างว่า ได้ปฏิบัติตามสัญญาเดิมของการให้บริการ เนื่องจาก กทช. ยังพิจารณาสัญญาใหม่ไม่แล้วเสร็จ
       
       "กรณีนี้ศาลพิเคราะห์แล้วว่า กทช. ใช้เวลาในการพิจารณาแบบสัญญานานเกินสมควร คือใช้เวลามากกว่า ๓ ปี ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ กทช.ปฏิบัติหน้าที่กสทช. ดำเนินการให้ความเห็นชอบหรือกำหนดแบบสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้าของบริษัท ให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน ทั้งนี้เนื่องจากการไม่พิจารณาแบบสัญญาส่งผลให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือยังปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาเดิม คือ หากผู้ใช้บริการไม่มีการเติมเงินเข้าระบบหรือไม่มีการใช้งานภายในระยะเวลาที่กำหนด เลขหมายก็จะถูกระงับสัญญาณ ทั้งที่เป็นการฝ่าฝืนต่อ ข้อ ๑๑ ของประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม"
       
       นายประวิทย์กล่าวต่อไปว่า จึงขอฝากการบ้านไปถึง สำนักงาน กสทช.ให้เร่งพิจารณาแบบสัญญาให้เสร็จภายใน ๙๐ วัน หรือกำหนดแบบสัญญามาตรฐานขึ้นมาซึ่งจะช่วยคุ้มครองผู้บริโภคที่ร้องเรียนเรื่องการกำหนดวันหมดอายุโทรศัพท์ระบบเติมเงินได้ และเพื่อไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลปกครอง
       
       Company Relate Link :
       กสทช

http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000118152

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

http://safetyarea9.blogspot.com/p/9-v-behaviorurldefaultvml-o.html

 ศูนย์ความปลอดภัยแรงงานพื้นที่ 9
รับผิดชอบในเขตจังหวัดอุดรธานี หนองคาย ขอนแก่น สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครพนม มหาสารคาม หนองบัวลำภู มุกดาหาร เลย และ บึงกาฬ

สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

องค์การแรงงาน ณ ก.ค. 2554

 

จำนวนองค์การแรงงาน ณ กรกฎาคม 2554

ทะเบียนที่ตั้งองค์การแรงงาน ณ กรกฎาคม 2554


   
  
Source     :  Labour  Relations  Bureau, Department  of  Labour  Protection  and  Welfare
                  http://relation.labour.go.th

ผลการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคีสังกัดกระทรวงแรงงาน ปี 2554


ผลการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคีสังกัดกระทรวงแรงงาน ปี 2554

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2554 ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๕.๐๐ น. ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการไตรภาคีสังกัดกระทรวงแรงงาน (เขตภาค ๑๐ กรุงเทพมหานคร) จำนวน ๖ คณะ โดยเป็นการจัดการเลือกตั้งพร้อมกันทั้ง ๑๐ เขตภาคทั่วประเทศ แบ่งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีสังกัดกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จำนวน ๓ คณะ และสังกัดสำนักงานประกันสังคม จำนวน ๓ คณะ  ซึ่งมีรองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (นายสมชาย วงษ์ทอง) เป็นประธานฝ่ายอำนวยการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งรวมทั้ง ๑๐ เขตภาคทั่วประเทศ (ลพบุรี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี เชียงใหม่ นครสวรรค์ กาญจนบุรี ภูเก็ต สงขลา และกรุงเทพฯ) มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งทั่วประเทศ ฝ่ายนายจ้าง ๙๘ คน จากบัญชีรายชื่อผู้มิสิทธิ ๑๔๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๗.๑๒ ฝ่ายลูกจ้าง ๖๙๖ คนจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ ๗๗๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๙๐.๑๖  (การนับคะแนนเลือกตั้งเสร็จสิ้นเมื่อเวลา ๒๑.๐๐ น.) ปรากฏผล ดังนี้

         ๑. คณะกรรมการไตรภาคีสังกัดกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

             ๑.๑ คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน   (ฝ่ายละ ๕ คน) ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ดังนี้

                    ฝ่ายนายจ้าง

ลำดับที่ ๑ นางรัตนา เซี่ยงฉิน  ลำดับที่ ๒ นางสาวธารีรัตน์ จริยขจรพัฒน์ ลำดับที่ ๓ นายสรัลวิชญ์ ศานติยานนท์ 

ลำดับที่ ๔  นายปรัชญา หงสกุล  ลำดับที่ ๕ นางมุ้ยเซี้ยม ปรีดาวิภาต

                     ฝ่ายลูกจ้าง

ลำดับที่ ๑ นางสาวจันทิมา แจวสกุล  ลำดับที่ ๒ นายไพร คำอิ่ม  ลำดับที่ ๓ นายกรานต์ จันทร์ต่อ 

ลำดับที่ ๔ นายสุภาค ฮาบสุวรรณ์  ลำดับที่ ๕ นายราวี หาสุนโม

             ๑.๒ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง  (ฝ่ายละ ๕ คน) ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ดังนี้

                    ฝ่ายนายจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายวิวัฒน์ ศิริสุนทร  ลำดับที่ ๒ นางสาวอุสา สุวรรณฉัตรชัย  ลำดับที่ ๓ นายอรรถยุทธ ลียะวณิช 

ลำดับที่ ๔ นายนำชัย เผือนพิพัฒน์    ลำดับที่ ๕ นายสรวุฒิ เจียรธนะกานนท์

                    ฝ่ายลูกจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายมานะ คุ้มกระโทก  ลำดับที่ ๒ นายสมโภชน์ อ้นชัยยะ  ลำดับที่  ๓ นายเจริญศักดิ์ คูณทอง  

ลำดับที่  ๔ นางสาวสายทอง สุปะมา   ลำดับที่ ๕ นายสุริยันต์ วงศ์ใหญ่

             ๑.๓ คณะกรรมการกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน   (ฝ่ายละ ๓ คน)  ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ดังนี้

                    ฝ่ายนายจ้าง

ลำดับที่ ๑ นางนารีรัตน์ ทองประพาฬ  ลำดับที่ ๒ นายจรินทร์ งาดีสงวนนาม  ลำดับที่ ๓ นางยุพดี วิภัติภูมิประเทศ

                    ฝ่ายลูกจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายธีระพล เปรมทรัพย์  ลำดับที่ ๒ นายทวี ดียิ่ง  ลำดับที่ ๓ นายปกรณ์ สีคล้อย

๒. คณะกรรมการไตรภาคีสังกัดสำนักงานประกันสังคม

      ๒.๑ คณะกรรมการประกันสังคม   (ฝ่ายละ ๕ คน)  ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ดังนี้

                    ฝ่ายนายจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายอรรถยุทธ ลียะวณิช  ลำดับที่ ๒ นายวัลลภ กิ่งชาญศิลป์  ลำดับที่ ๓ นายสุธรรม เจริญพรวัฒนา

ลำดับที่ ๔ นายประภาส ชัยวัฒนายน  ลำดับที่ ๕ นายวรพงษ์ รวิรัฐ

                    ฝ่ายลูกจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายพนัส ไทยล้วน  ลำดับที่ ๒ นายทวี เตชะธีราวัฒน์   ลำดับที่ ๓ นายธานี แตงจีน 

ลำดับที่ ๔ นายนคร สุทธิประวัติ  ลำดับที่ ๕ นายสุรัตน์ จันทร์วันเพ็ญ 

              ๒.๒ คณะกรรมการอุทธรณ์  (ฝ่ายละ ๓ คน) ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ดังนี้

                    ฝ่ายนายจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายปิยะชาติ ชุณหเวชสกุล    ลำดับที่ ๒ นายปัณณพงศ์ อิทธิ์อรรถนนท์  ลำดับที่ ๓ นายวัชรพล บุษมงคล

                    ฝ่ายลูกจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายสุชาติ ไทยล้วน  ลำดับที่ ๒ นายธรรมรงค์ มุสิกลัด   ลำดับที่ ๓ นายวิรัช พยุงวงษ์ 

              ๒.๓ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน  (ฝ่ายละ ๓ คน) ผู้ได้รับการเลือกตั้ง ดังนี้

                    ฝ่ายนายจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายธำรง คุโณปการ  ลำดับที่ ๒ นายประสิทธิ์ จงอัศญากุล  ลำดับที่ ๓ นายปณพล ธรรมพรหมกุล 

                    ฝ่ายลูกจ้าง

ลำดับที่ ๑ นายณรงค์ บุญเจริญ   ลำดับที่ ๒ นายอนุชิต แก้วต้น   ลำดับที่ ๓ นายประจวบ พิกุล

 

•  ผลการนับคะแนนการเลือกตั้ง (เขตภาค ๑ - เขตภาค ๑๐) ฝ่ายนายจ้าง

  ผลการนับคะแนนการเลือกตั้ง (เขตภาค ๑ - เขตภาค ๑๐) ฝ่ายลูกจ้าง

  



 http://relation.labour.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=243:-2554&catid=64:information

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

แรงงานจังหวัดสกลนครจัดอบรมอาสาสมัครแรงงาน

 แรงงานจังหวัดสกลนครจัดอบรมอาสาสมัครแรงงาน


แรงงานจังหวัดสกลนคร จัดการอบรมเสริมสร้างศักยภาพอาสาสมัครแรงงานและแกนนำอาสาสมัครแรงงานระดับตำบลและอำเภอ
นางวิตยา ประสงค์วัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นประธานเปิดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพอาสาสมัครแรงงานและแกนนำอาสาสมัครแรงงาน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสกลนคร อาสาสมัครแรงงาน แกนนำอาสาสมัครแรงงาน ระดับตำบล และระดับอำเภอเข้าร่วม อบรมกว่า 200 คน เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ติดต่อประสานงานด้านแรงงานระหว่างประชาชนในพื้นที่กับส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นการพัฒนาบุคลากรด้านแรงงานให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ที่ว่า แรงงานมีผลิตภาพสูง มีความมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่มี โดยทางแรงงานจังหวัดสกลนคร ตั้งเป้าการจัดอบรม ให้อาสาสมัครแรงงานได้รับความรู้และนำไปพัฒนางานที่เกี่ยวกับการใช้แรงงาน ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 
 
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : ขอนแก่น (สทท.)/อุพาภรณ์ สีดาเจี้ยม   Rewriter : ธิดารัตน์ แบบวา
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th



 วันที่ข่าว : 15 กันยายน 2554 

กก.ปฏิรูปกฎหมาย เสนอรัฐบาลใหม่ เร่งพิจารณาร่างกฎหมายที่สำคัญและจำเป็นสมควรให้พิจารณาต่อไป 19 ฉบับ

 


รอบอาทิตย์แรก ก.ย.54

เมื่อ 9 ก.ย. 2554
กก.ปฏิรูปกฎหมาย เสนอรัฐบาลใหม่ เร่งพิจารณาร่างกฎหมายต่อ
เมื่อวันที่ 30 ส.ค.54 คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ทำหนังสือถึงนายกฯ ให้เดินหน้าพิจารณาร่างกฎหมายต่อ แบ่งเป็นร่างที่ควรเห็นชอบ 26 ฉบับ ไม่ควรเห็นชอบ 5 ฉบับ พร้อมเหตุผลและความคิดเห็นต่อกฎหมายแต่ละฉบับประกอบด้วย
เนื่องจากมาตรา 153 ของรัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดว่า รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา จะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่าง พ.ร.บ.ที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายใน 60 วัน นับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย
 
โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายระบุว่า มีร่างกฎหมายที่ไม่ควรเห็นชอบให้พิจารณาต่อไป 5 ฉบับ 
ร่างกฎหมายที่สมควรเห็นชอบให้พิจารณาต่อไป แบ่งเป็นร่างกฎหมายที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอโดยตรงต่อสภาฯ 7 ฉบับ และร่างกฎหมายที่สำคัญและจำเป็นสมควรให้พิจารณาต่อไป 19 ฉบับ
 
อนึ่ง ร่างกฎหมายที่ไม่ควรเห็นชอบให้พิจารณาต่อไป 5 ฉบับ ได้แก่ 
1.ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ
2.ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม 
3.ร่าง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 
4.ร่าง พ.ร.บ.เงินทดแทน 
5.ร่าง พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
 
ร่างกฎหมายที่สมควรเห็นชอบให้พิจารณาต่อไป แบ่งเป็นร่างกฎหมายที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันเข้าชื่อ
เพื่อเสนอโดยตรงต่อสภาฯ 7 ฉบับ ได้แก่ 
1.ร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
2.ร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพแพทย์แผนไทย 
3.ร่าง พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
4.ร่าง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
5.ร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุข
6.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข 
7.ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉบับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย)
 
ร่างกฎหมายที่สำคัญและจำเป็นสมควรให้พิจารณาต่อไป 19 ฉบับ 
1.ร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
2.ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
3.ร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
4.ร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่...)
5.ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย 
6.ร่าง พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ
7.ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
8.ร่าง พ.ร.บ.การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น
9.ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ
10.ร่าง พ.ร.บ.คุมประพฤติ
11.ร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ 
12.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ 
13.ร่าง พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิและควบคุมดูแลเด็ก
14.ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย
15.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
16.ร่าง พ.ร.บ.การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ
17.ร่าง พ.ร.บ.พระราชบัญญัติ
เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
18.ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
19.ร่าง พ.ร.บ.สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
ทีีมาข่าว ประชาไท