วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. ....

  ความรุ้เรื่อง
ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. ....
โดยที่มาตรา ๕ ประกอบมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานให้นายจ้างดำเนินการในการบริหารและจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. .... กระทรวงแรงงานจึงได้ยกร่างกฎกระทรวงฯดังกล่าวเพื่อคุ้มครองลูกจ้าง สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://www.lawamendment.go.th/

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

บทความ: กฎหมายแรงงานใหม่คุ้มครองแรงงานหญิง

 บทความ: กฎหมายแรงงานใหม่คุ้มครองแรงงานหญิง


บทบาทของผู้หญิงในปัจจุบันมีความสำคัญและเป็นอีกแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 พบว่ามีแรงงานสตรีที่อายุ 15 ปีขึ้นไป 17.43 ล้านคน จากทั้งหมด 38.25 ล้านคน กฎหมายไทยให้ความสำคัญกับแรงงานหญิง ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้วางกำหนดกฎเกณฑ์คุ้มครองแรงงานหญิงไว้หลายประการ
ประการแรก ห้ามลูกจ้างหญิงทำงานอันตราย เช่น งานเหมืองแร่ หรืองานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขา งานที่ต้องทำบนนั่งร้านสูงกว่าพื้นดินตั้งแต่สิบเมตรขึ้นไป งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่ลูกจ้างหญิงที่ทำงานด้านวิชาชีพ หรือวิชาการที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงจะอนุญาตให้ทำงานด้านการผลิตวัตถุไวไฟได้
ประการที่สอง ห้ามลูกจ้างหญิงทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 ประเภทคือ
1. ทำงานช่วง 22.00 – 06.00 น.
2. ทำงานล่วงเวลาเว้นแต่ลูกจ้างหญิงที่ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ งานบัญชีหรือการเงิน ทำงานล่วงเวลาได้ โดยลูกจ้างหญิงนั้นยินยอมทำ
3. ทำงานในวันหยุด
4. ทำงานอันตรายต่อหญิงมีครรภ์อย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 อย่าง
(1) งานเกี่ยวกับเครื่องจักรเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
(2) งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ
(3) งานยก แบก หาบ หาม ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกินสิบห้ากิโลกรัม
(4) งานที่ทำในเรือ
(5) งานอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง
หากนายจ้างฝ่าฝืนมีโทษขั้นต่ำปรับไม่เกิน 5,000 บาท โทษสูงสุดจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่กฎหมายก็ยกเว้นให้สำหรับงานล่วงเวลาที่นายจ้างอาจให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานได้เช่น ลูกจ้างที่ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ รวมทั้งงานเกี่ยวกับการเงินหรือบัญชี สามารถทำงานล่วงเวลาในวันทำงานได้ (ไม่ใช่ล่วงเวลาในช่วงวันหยุด) โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งตั้งครรภ์ไปหาหมอแล้วมีใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งมาแสดงว่าไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมได้อีกต่อไป (เพราะอาจส่งผลต่อทารกและสุขภาพของเธอ) ลูกจ้างคนนั้นมีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยนงานในหน้าที่เดิมชั่วคราวในช่วงก่อนหรือหลังคลอด แล้วให้นายจ้างพิจารณาเปลี่ยนงานที่เหมาะสม ถ้าหากลูกจ้างหญิงขอเปลี่ยนงานแล้วนายจ้างไม่ให้ (ทั้ง ๆ ที่เธอมีใบรับรองแพทย์)
หากนายจ้างฝ่าฝืนมีโทษขั้นต่ำปรับไม่เกิน 5,000 บาท โทษสูงสุดจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับครับ
นายจ้างปลดลูกจ้างเพราะเหตุตั้งครรภ์ไม่ได้ ฝ่าฝืนมีโทษขั้นต่ำปรับไม่เกิน 5,000 บาท โทษสูงสุดจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับครับ
นอกจากได้รับการคุ้มครองระหว่างการทำงานแล้ว กฎหมายยังคุ้มครองลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ให้มีสิทธิลาคลอด (ในแต่ละครรภ์) ได้ไม่เกิน 3 เดือน โดยมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 45 วัน นอกจากนี้ ในบางหน่วยงานก็จะให้สิทธิพิเศษ เพิ่มเติมในเรื่องการลาคลอดอีก (แล้วแต่ข้อกำหนดในการให้สิทธิลูกจ้างของหน่วยงานนั้น ๆ
ประการที่สาม นายจ้างต้องเปลี่ยนเวลาหรือลดเวลาทำงานเมื่อลูกจ้างหญิงทำงานในช่วงเวลา 24.00 – 06.00 น. แล้วพนักงานตรวจแรงงานเห็นว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างหญิง เช่น ทำงานเลิกตอนตีสอง แล้วไม่มีหอพัก ไม่มีรถรับส่ง ลูกจ้างหญิงต้องเดินทางกลับคนเดียวเข้าอยู่เปลี่ยว จะเจอเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นไม่อาจเดาได้ พนักงานตรวจแรงงานอาจสั่งให้ลดเวลาทำงานเหลือ 22.00 น. เป็นต้น

 
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / สนข.   Rewriter : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / สนข.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th



 วันที่ข่าว : 17 เมษายน 2555 

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

วุ้นลูกตาเสื่อม (Vitreous degeneration)

วุ้นลูกตาเสื่อม (Vitreous degeneration)

วุ้นลูกตาเสื่อม


ข้อมูลจาก Forward Mail 
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต 


          เนื่องด้วยปัจจุบันได้มีร้านอินเตอร์เน็ตหรือร้านเกมส์เยอะและมีคนเล่นเกมส์และเน็ตเป็นเวลานานรวมถึงคนที่ทำงานที่ต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน ควรพึงระวังไว้เกี่ยวกับโรคภัยที่จะตามมากับการอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ


          เตือนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อย ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมส์ หรือใช้ว่าทำงานลองอ่านดูนะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค "วุ้นในลูกตาเสื่อม" ถึง 14 ล้านคนแล้วครับจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์?? นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับ คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก็เป็นจะมากขนาดไหน


          ผมคิดว่า ในขณะที่คุณอ่านข้อความของผมนี้จากทางเนตบางคนก็เป็นแต่ไม่รู้ตัวครับ


          อาการก็คือ : คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก้อคือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด (ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?)


          สาเหตุของโรคนี้คือ : การใช้สายตามากเกินไป (เล่นคอม)


          แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม


          คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์,อ่านไดอารี่,อ่านบทความ,อ่านหนังสือ หรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่


          แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน )


          บวกกับลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์ หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน


          แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้างหรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตาจะต้องลากลูกตา เลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้นบางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้วว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จคุณจะปวดตามากๆ  


          อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด


          เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ เป็นสีกำแพง เป็นสีปราสาท มันจะให้สีสวยสดดี แต่การทำแบบนี้มีข้อเสียคือ บางทีคุณหรือพี่น้องของคุณมาใช้คอมเครื่องนั้นต่อ จะทำให้บางครั้งลืมปรับความสว่างกลับมาให้มืดเหมือนเดิม จากที่แค่สว่างพอที่จะพิมพ์รายงาน กลายเป็นจ้องจอสว่างจ้าตลอดคืนไม่รู้ตัว สรุปก็คือ


          1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก "ทำให้สายตาเสีย"


          2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เองที่ทำให้สายตาเสีย ถ้าคุณอ่านหนังสือจากเวปมากๆ คุณจะติดนิสัยเสียอย่างนึงติดตัวไปคือ คุณจะติดนิสัย มองอะไรก็ตาม ไม่ว่าใกล้ไกล จะปรับโฟกัสมองเพ่งอยู่เสมอ ผลก็คือ กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก คุณจะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ คุณจะไม่สามารถปรับโฟกัส มองของใกล้ แล้วมองไกล ได้ทันทีเหมือนเคย (กล้ามเนื้อประสาทลูกตาจะล้า การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)


          3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา "ทำให้สายตาเสีย"


          4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว "ทำให้สายตาเสีย" ข้อนี้คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวีในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน


          5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12 นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา) แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมาเป็นพันๆ ครั้ง และถ้าเป็นปี หรือ หลายปี ติดต่อกัน สายตาคุณเสียแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะอ่านหนังสือจากจอคอมขนาดของจอคอมของคุณต้องไม่เกิน 15 นิ้ว


          ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่าน การเขียนทั่วไป จึงมีขนาด A4 ? (คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดี ในการกวาดสายตามอง ยังไงล่ะครับ)


          และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมคุณที่จะเอามาอ่านหนังสือ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวัน ง่ายๆ นั้น จะเป็นสาเหตุ ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!  


          ผมจึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหาข้อมูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่าน อะไรก็ตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่ หนังสือบนเนต คุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิม ลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะ เพื่อสุขภาพตา  


          ปกติที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ (Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก (Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก (Posterior vitreous detachment)


          คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ


          ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก


คนที่มีสายตาสั้นมากๆ 
เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง 
เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา 
เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก 
คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง 
คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก 


          คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป


การป้องกัน


          จากที่ได้อ่านที่ดอสโพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง


          การเห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ


          แต่ถ้าเห็นFloater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือเปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ


การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์


          จากการที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับสุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนี้


          1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว  


          2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ  20-26 องศา  


          3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก  


          4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย  


          5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ  


          6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย  


          7. กะพริบตาบ้าง  ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว  


          8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน  ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ  


          9. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น


          การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป 


โรค DVT



ต่อไปเป็นท่าการบริหารสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน 


 

http://hilight.kapook.com/view/23928


 

เกร็ดความเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน



จาก: Kittiya Sophonphokai <kittiya@ombudsman.go.th>
วันที่: 11 เมษายน 2555, 12:45
หัวเรื่อง: เกร็ดความเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน
ถึง: 

อำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน

 

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้ในมาตรา ๒๔๔ ไว้ดังต่อไปนี้ คือ

                   (๑) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนในกรณี

                        (ก) การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

                        (ข) การปฏิบัติหรือละเลยการไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ  หรือราชการส่วนท้องถิ่น ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม

                        (ค) การตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล

                        (ง) กรณีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

                   (๒) ดำเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๒๗๙ วรรคสาม และมาตรา ๒๘๐

                   (๓) ติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ รวมตลอดถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น

                   (๔) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาทุกปี ทั้งนี้ ให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย

                   การใช้อำนาจตาม (๑) (ก) (ข) และ (ค) ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการเมื่อมีการร้องเรียน เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีความกระทบต่อความเสียหายของประชาชนส่วนรวมหรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาและสอบสวนโดยไม่มีการร้องเรียนได้

 

                   นอกจากนี้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙ ยังกำหนดให้มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท ให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่กำหนดขึ้น และมาตรา ๒๘๐ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำประมวลจริยธรรม และส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม จึงเห็นได้ว่า อำนาจหน้าที่ที่สำคัญของผู้ตรวจการแผ่นดินตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ล้วนยึดโยงอยู่กับการกระทำหรือไม่กระทำการของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐแทบทั้งสิ้น 

 

กิตติยา(เจี๊ยบ) โสภณโภไคย

นักวิชาการอาวุโสระดับสูง

สำนักส่งเสริมมาตรฐานจริยธรรม

สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

'  0 2141 9277  7 0 2143 8373

* kittiya@ombudsman.go.th or

     sophon_kit@hotmail.com

 

 

 

  

 

 



 

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

"กูเกิล ดูเดิล" รำลึก 182 ปี "เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์" ผู้ให้กำเนิดภาพเคลื่อนไหว

"กูเกิล ดูเดิล" รำลึก 182 ปี "เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์" ผู้ให้กำเนิดภาพเคลื่อนไหว

วันที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:30:15 น.

Share 




หากเปิดหน้าแรกของเว็บกูเกิลในวันนี้ จะพบว่ามีหน้าตาแปลกไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของกูเกิล ที่จะเปลี่ยนไปตามการครบรอบโอกาสต่างๆ

 

 

 

โดยในวันนี้ ถึงคราวของ "เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์"ช่างภาพชาวอังกฤษ ผู้เป็นคนแรกๆที่คิดค้นกล้องถ่ายรูป ที่ในวันนี้เป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเกิด 182 ปีของเขา โดยใช้ภาพของหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเขา นั่นก็คือ "The Horse in Motion"

 

 

 

 

"เอ็ดวาร์ด เจ. เมย์บริดจ์" (Eadweard J. Muybridge) เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1830  และเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเมื่อเดือนพฤษภาคม 1904 เขาเป็นช่างภาพและนักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เขามีชื่อเสียงจากการศึกษาทดลองถ่ายภาพการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ในช่วงแรก เขาเน้นถ่ายภาพภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมต่างๆ

 

โดยเฉพาะภาพที่ถ่ายขึ้นในปี 1872    ที่เขาต้องการพิสูจน์ว่า ขณะที่ม้าวิ่ง จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ขาทั้งสี่ของม้าจะลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกัน เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสื่อภาพถ่ายและวีดิโอ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในภาพวิดีโอยุคแรกๆของโลก

 

 

 

 

เอ็ดวาร์ดได้ทำการถ่ายภาพที่สนามแข่งม้าของมหาเศรษฐีเลแลนด์ สแตนฟอร์ด ที่เมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยใช้กล้อง 12 ตัวตั้งเรียงด้วยระยะห่างเท่ากันตามเส้นทางวิ่งของม้าเพื่อจับภาพขณะที่ม้ากำลังวิ่ง โดยใช้เทคนิคการลั่นชัตเตอร์ด้วย เส้นเชือกที่ขึงไว้ที่พื้น เมื่อกีบเท้าม้าสัมผัสเชือก ก็เป็นสัญญาณให้ทำการกล้องถ่ายรูปเป็นชุดๆ อย่างต่อเนื่องตามจุดที่กำหนด  เพื่อพิสูจน์ว่ามีจังหวะหนึ่งของการวิ่งที่ขาของม้าลอยจากพื้นหมดทั้งสี่ข้าง เมื่อนำภาพถ่ายจากกล้องแต่ละตัวมาวางเรียงกัน จะได้ภาพถ่ายต่อเนื่อง ครั้งแรกในโลก โดยครั้งแรกนั้นเขาสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 12 ภาพ และเป็นจุดเริ่มต้นของ ศาสตร์ภาพเคลื่อนไหว หรือ ภาพยนตร์ ในเวลาต่อมา

 

และต่อมาในปี 1877-1878 เขาได้ทำการทดลองซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้กล้องทั้งหมด 24 ตัว  จากนั้นจึงได้นำมาใช้ศึกษาท่าทางการเคลื่อนไหวของคนลักษณะต่างๆ เช่น คนอ้วน ผู้หญิง ผู้ชาย นักกีฬา

 

 

เครื่อง Phenakistoscope

 

 

 

 

ภาพของ Muybridge  ถูกนำมาใช้ในเครื่อง Phenakistoscope ซึ่งถือกันว่าเป็นเครื่องฉายภาพยนตร์เครื่องแรกที่สามารถฉายภาพเคลื่อนไหวลงบนฉากได้ ในปี 1879 Muybridge ได้ทำการประดิษฐ์เครื่อง Zoopraxiscope (zoogyroscope)

 

 

เครื่อง zoopraxiscope

 

 

zoopraxiscope ถือว่าเป็นอุปกรณ์ฉายภาพยนตร์เครื่องแรกของโลก ที่จะวาดรูปภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องที่ละภาพลงบนจานแก้ว แล้วนำจานแก้วนั้นไปหมุนอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดเสมือนเป็นภาพเคลื่อนไหว



 

กิจกรรม "จากภูผาสู่มหานที ชวนทำความดี คืนชีวิตกลับสู่ธรรมชาติ"



จาก: Boon Volunteer : ฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา <boonvolunteer@gmail.com>
วันที่: 9 เมษายน 2555, 15:12
หัวเรื่อง: กิจกรรม "จากภูผาสู่มหานที ชวนทำความดี คืนชีวิตกลับสู่ธรรมชาติ"
ถึง:


เปิดรับอาสาสมัคร  ร่วมเรียนรู้ธรรมชาติและฟื้นฟูท้องทะเล จ.ชุมพร
 
"จากภูผาสู่มหานที ชวนทำความดี คืนชีวิตกลับสู่ธรรมชาติ"
 
นำก้อนดินจุลินทรีย์ (ระเบิดจุลินทรีย์) และบ้านปลาทำที่จากวัสดุธรรมชาติ (ซั้ง) ลงสู่ท้องทะเลชุมพร
 

วันที่ : 21-22 เมษายน / 19-20 พฤษภาคม 2555

สถานที่ : ชุมพร คาบาน่า รีสอร์ต และศูนย์กีฬาดำน้ำ จ.ชุมพร

จำนวนที่รับ : ครั้งละ 25-30 คน

ค่าใช้จ่าย
- สำหรับผู้ดำน้ำตื้น 2,200 บาท
- สำหรับผู้ดำน้ำลึก (Scuba) 3,400 บาท
- ราคานี้รวม ค่าดำน้ำ ค่าที่พัก 1 คืน และอาหาร 4 มื้อ
- ราคานี้ ไม่รวม ค่ารถ และค่าของใช้ส่วนตัว

ข้อมูลเพิ่มเติม >> คลิกที่นี่

--
บุญที่ทุกคนทำได้... เวลา แรงกาย สติปัญญา
 
 
โครงการฉลาดทำบุญด้วยจิตอาสา (เครือข่ายพุทธิกา)
เลขที่ 45/4 ซ.อรุณอมรินทร์ 39 (เหล่าลดา) ถ.อรุณอมรินทร์
แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กทม. 10700

โทรศัพท์: 0-2882-4387, 0-2886-0863
โทรสาร: 0-2882-5043

อีเมล: boonvolunteer@gmail.com
เฟซบุ๊ก: boonvolunteer
เว็บไซต์: www.budnet.org/boonvolunteer
 
 
วันเวลาทำการ:
§ จันทร์          10.30-18.00 น.
§ อังคาร-ศุกร์    9.00-18.00 น.



วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

แถลงการณ์สถาบันพระปกเกล้า เรื่องงานวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ณ วันที่ 3 เมษายน 2555



จาก: สถาบันพระปกเกล้า <webmaster@kpi.ac.th>
วันที่: 3 เมษายน 2555, 15:02
หัวเรื่อง: แถลงการณ์สถาบันพระปกเกล้า เรื่องงานวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ณ วันที่ 3 เมษายน 2555
ถึง: 

 

 

LOGO BANK copy.jpg

 

ดาวน์โหลดแถลงการณ์สถาบันพระปกเกล้า เรื่องงานวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ

วันที่ 3 เมษายน 2555

http://www.kpi.ac.th/kpith/index.php?option=com_content&task=view&id=1310&Itemid=1

 



 

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

[สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 23 คสช. เห็นชอบมติจัดการน้ำมันทอดซ้ำ




จาก: National Health Commission Office of Thailand <nationalhealth@nationalhealth.or.th>
วันที่: 2 เมษายน 2555, 7:46
หัวเรื่อง: [สช.ร่อนข่าว] ฉบับที่ 23 คสช. เห็นชอบมติจัดการน้ำมันทอดซ้ำ
ถึง: 

ฉบับที่ 23 คสช. เห็นชอบมติจัดการน้ำมันทอดซ้ำ

Printer-friendly   version
   
    สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.)
    ชั้น 3 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ติวานนท์ 14 หมู่4 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
    โทร. 02-832-9000 โทรสาร 02-832-9001

    www.nationalhealth.or.th | www.healthstation.in.th
 

Unsubscribe from this newsletter