วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ถูกสุดๆ เพียง 1,950 บาท แถมส่วนลด 30%.........

ด่วน!  ให้เช่านั่งร้าน ราคาถูก 

ราคาเริ่มต้น 1,950 บาท นั่งร้านแบบมาตรฐาน นั่งร้านแบบปลอดภัย
เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง  งานซ่อมแซม   งานในที่สูงต่างๆ
BC event rental บริการ ให้เช่านั่งร้านราคาประหยัด วัสดุโครงสร้างทำจากเหล็กตามมาตรฐาน

มีความปลอดภัยสูง มีทั้งให้ เช่า รายวัน รายเดือน มี2แบบ แบบมาตรฐาน แบบปลอดภัย
และสามารถเลือกระดับความสูงได้ถึง 6 ชั้น วันนี้มีพร้อมจำหน่ายและให้เช่าแล้ว

 โปรโมชั่นพิเศษ!!!

มีส่วนลด30% ในกรณี ที่มารับสินค้าเอง

และได้รับส่วนลดอีก30% ของราคาเช่าสินค้า
 

     

เช่า จันทร์-อังคาร

ลด 10-15%

ดูรายละเอียดได้ที่
www.bceventrentals.com

สนใจติดต่อฝ่ายขาย

คุณฝน 085-1109502, คุณปิงปอง086-6030111

 ขออภัยอย่างสูง หากอีเมล์ฉบับนี้ เป็นการรบกวนท่าน

Tue, 27 Nov 2012 08:34:43 GMT

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ถูกสุดๆ เพียง 1,950 บาท แถมส่วนลด 30%.......

ด่วน!  ให้เช่านั่งร้าน ราคาถูก 

ราคาเริ่มต้น 1,950 บาท นั่งร้านแบบมาตรฐาน นั่งร้านแบบปลอดภัย
เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง  งานซ่อมแซม   งานในที่สูงต่างๆ
BC event rental บริการ ให้เช่านั่งร้านราคาประหยัด วัสดุโครงสร้างทำจากเหล็กตามมาตรฐาน

มีความปลอดภัยสูง มีทั้งให้ เช่า รายวัน รายเดือน มี2แบบ แบบมาตรฐาน แบบปลอดภัย
และสามารถเลือกระดับความสูงได้ถึง 6 ชั้น วันนี้มีพร้อมจำหน่ายและให้เช่าแล้ว

 โปรโมชั่นพิเศษ!!!

มีส่วนลด30% ในกรณี ที่มารับสินค้าเอง

และได้รับส่วนลดอีก30% ของราคาเช่าสินค้า
 

     

เช่า จันทร์-อังคาร

ลด 10-15%

ดูรายละเอียดได้ที่
www.bceventrentals.com

สนใจติดต่อฝ่ายขาย

คุณฝน 085-1109502, คุณหนิง 081-5640074

ขออภัยอย่างสูง หากอีเมล์ฉบับนี้ เป็นการรบกวนท่าน

Fri, 21 Sep 2012 18:53:56 GMT

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

Suwimol Ch added you to her circles and invited you to join Google+

Suwimol Ch added you to her circles and invited you to join Google+.
Join Google+
Google+ makes sharing on the web more like sharing in real life.
Circles
An easy way to share some things with college buddies, others with your parents, and almost nothing with your boss. Just like in real life.
Hangouts
Conversations are better face-to-face. Join a video hangout from your computer or mobile phone to catch up, watch YouTube videos together, or swap stories with up to 9 of your friends at once.
Mobile
Lightning-fast group chat. Photos that upload themselves. A bird's-eye view of what's happening nearby. We built Google+ with mobile in mind.
You received this message because Suwimol Ch invited ablog1951.150911@blogger.com to join Google+. Unsubscribe from these emails.

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โทลูอีนอันตราย รัฐบิดเบือนข้อมูล จัดการอุบัติภัยเคมีดีขึ้นแต่ยังต้องแก้อีกเยอะ โดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ 7 พฤษภาคม 2555

 
โทลูอีนอันตราย รัฐบิดเบือนข้อมูล 
จัดการอุบัติภัยเคมีดีขึ้นแต่ยังต้องแก้อีกเยอะ
โดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ
7 พฤษภาคม 2555

สืบเนื่องจากเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ที่โรงงานของบริษัทบีเอสทีอิลาสโตเมอร์ ในเครือบริษัทกรุงเทพซินธิติกส์ (BST) ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เมื่อวันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา มูลนิธิบูรณะนิเวศซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งที่ได้ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด ได้ออกมาให้ความเห็นว่า แม้การรับมือสถานการณ์ อาทิ การควบคุมเพลิง การตัดสินใจประกาศอพย จะเป็นไปอย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แต่ในด้านอื่นๆ ยังคงมีปัญหาอยู่โดยเฉพาะการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี เช่น สารโทลูอีน ซึ่งแท้จริงแล้วมีอันตราย และเป็นไปได้ว่าจะยังคงตกค้างอยู่ในพื้นที่อีกเป็นเวลานาน ไม่เฉพาะวันเกิดเหตุ จนเป็นเหตุให้การป้องกันตัวเองจากสารเคมีของประชาชนยังไม่รัดกุมเพียงพอ นอกจากนี้ในด้านระบบจัดการกับอุบัติภัยสารเคมีของประเทศไทยที่ยังมีส่วนที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอีกมาก

โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2555 ที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ นางสาววลัยพร มุขสุวรรณ รองผู้อำนวยการมูลนิธิฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสารเคมี ได้ออกมาระบุว่า แม้สารโทลูอีนโดยลำพังจะระเหยง่าย แต่เมื่ออยู่ในบรรยากาศที่มีโอโซนและแสงแดด จะคงตัวอยู่ได้นานถึง 27,950 วัน หรือมากกว่า 76 ปี ทั้งนี้ในพื้นที่มาบตาพุดมีการตรวจพบสารโอโซนโดยกรมควบคุมมลพิษในจำนวนเกินค่ามาตรฐานทุกปีและในทุกสถานีตรวจวัดของพื้นที่มาบตาพุดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสารโทลูอีนที่ปล่อยออกมาจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ จะคงอยู่ยาวนานมากกว่า 2 วัน และอาจมากถึง 70 กว่าปี เพิ่มโอกาสที่ประชาชนจะได้รับสารโทลูอีน ซึ่งมีฤทธิ์เฉียบพลัน คือ ระคายเคืองจมูกและปอด เจ็บในทรวงอก และในระยะยาว สารโทลูอีนมีพิษต่อตับ ไต สมอง กระเพาะปัสสาวะ และระบบประสาท รวมทั้งพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ ดังนั้นมาตรการเฝ้าระวังสารเคมีปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มิใช่ว่าเพียงสองวันก็ประกาศว่าสถานการณ์เป็นปกติแล้ว

การเฝ้าระวังค่าปนเปื้อนของสารเคมีในอากาศยังจำเป็นต้องตรวจวัดสารเคมีอีกหลายชนิด มิใช่สารโทลูอีนเพียงอย่างเดียว เพลิงไหม้ที่โรงงาน BST ทำให้สารโทลูอีนถูกเผาไหม้ ก่อปฏิกิริยาทางเคมีเปลี่ยนเป็นสารที่มีพิษต่อร่างกายได้อีกหลายชนิด เช่น หากโทลูอีนถูกเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะเกิดสารคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้คลื่นไส้ เวียนหัว จนถึงหมดสติและเสียชีวิตได้หากได้รับในปริมาณมาก หากเผาไหม้เกือบสมบูรณ์ จะเกิดสารคาร์บอนมอนออกไซด์ เป็นพิษเมื่อสูดดม ระคายเคืองผิวหนัง ระคายตา ทางเดินหายใจส่วนบน และยังเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ควันดำที่เห็นจากเหตุเพลิงไหม้โรงงาน BST เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าสารโทลูอีนได้ถูกเผาไหม้อย่างไม่สมบูรณ์ ซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องทางเคมี กลายเป็นสารเคมีอีกหลายชนิด ส่วนใหญ่เป็นสารอันตรายและมีฤทธิ์เฉียบพลัน บางชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเฝ้าระวังค่าปนเปื้อนของสารเคมีอื่นๆและแจ้งผลให้ประชาชนทราบเป็นระยะ

การให้ข้อมูลทั้งจากบริษัทและหน่วยงานรัฐเฉพาะเจาะจงที่สารโทลูอีนและการย้ำว่าไม่เป็นสารก่อมะเร็ง จึงถือเป็นการบิดเบือนข้อมูล ทำให้ความน่ากลัวของเหตุการณ์น้อยลง ซึ่งเข้าใจได้ในแง่ที่ไม่อยากให้สาธารณะชนแตกตื่น อย่างไรก็ตาม อาจทำให้ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่เช่นหน่วยกู้ภัยและนักข่าวที่เข้าไปทำข่าวหรือชุมชนรอบๆ ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดและไม่ป้องกันตัวอย่างเพียงพอ เช่นมีรายงานว่านักข่าวที่บินไปทำข่าวกับเฮลิคอปเตอร์ในวันต่อมาถึงกับหน้ามืดและอาเจียนจากการสูดสารเคมีเข้าไปเป็นระยะเวลานา

ด้านนางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้ให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า การที่สามารถควบคุมเหตุเพลิงได้ภายในที่ค่อนข้างรวดเร็ว รวมทั้งตัดสินใจประกาศอพยพ 18 ชุมชน เพื่อป้องกันผลกระทบหากเหตุลุกลามเป็นวงกว้างในครั้งนี้ ถือได้ว่าการจัดการกับอุบัติภัยสารเคมีของประเทศไทยมีพัฒนาขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีส่วนจำเป็นต้องปรับปรุงอีกมาก ซึ่งส่วนที่สำคัญคือการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเหตุครั้งนี้ยังพบปัญหาในทางปฏิบัติอยู่หลายส่วน เช่น ชาวบ้านไม่ได้ยินเสียงตามสายเพราะฝนตกหนัก ระบบ sms ไม่แจ้งเตือนเพราะเจ้าหน้าที่เพิ่งรับทราบข่าวหลังเหตุสงบแล้ว จุดรวมพลในการอพยพไม่ชัดเจน หรือแม้จะมีการประกาศผ่านทางสื่อโทรทัศน์แต่ประชาชนในพื้นที่ที่ไม่ได้ดูทีวีก็ไม่ได้รับข้อมูลเป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เนื่องจากมาบตาพุดเป็นพื้นที่ที่มีการใช้ ผลิต และเก็บสารเคมีอันตรายมากที่สุดในประเทศไทย หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอุบัติภัยสารเคมี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ระบบการแจ้งเตือนภัย การอพยพ และการจัดการกับอุบัติภัยจะต้องทำงานได้ สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ หากอุบัติเหตุไม่ได้เกิดขึ้นที่ถังเก็บสารโทลูอีน แต่เป็นสารเคมีชนิดอื่นที่ร้ายแรงกว่า เพราะโรงงานปิโตรเคมีทุกโรงในมาบตาพุดมีการใช้และผลิตสารเคมีอันตรายอีกจำนวนมากที่มีอันตรายร้ายแรงกว่าสารโทลูอีน และหากไม่ได้เกิดในระหว่างที่โรงงานดังกล่าวปิดทำการในวันหยุด โศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็อาจรุนแรงและส่งผลเสียหายยิ่งกว่านี้ การป้องกันและเตรียมรับมือจึงมีความจำเป็น

ในแง่การเยียวยารักษาผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยในครั้งนี้ อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าวว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนงานทั้งของบริษัท BST และบริษัทรับเหมาเฉพาะทาง และเนื่องจากสารที่ได้รับสัมผัสจำนวนมากซึ่งยังระบุไม่ได้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีมาตรการติดตามเฝ้าระวังสุขภาพระยะยาวของคนงานผู้ได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนจะต้องเร่งสร้างมาตรการเหล่านี้

วิเคราะห์กรณีระเบิด และเพลิงไหม้โรงงาน BST นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

 

วิเคราะห์กรณีระเบิด และเพลิงไหม้โรงงาน BST นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

วันที่ 06 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:30:00 น.

Share154




ผศ.ดร.กิติกร จามรดุสิต

ช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันหยุด 5 พฤษภาคม 2555 (ค่อนข้างจะเป็นวันที่เป็นตัวเลขที่ดีมากเพราะเป็น เสาร์ห้า เดือนห้า ปีห้าห้า) ผมได้ทราบข่าวการเกิดระเบิด และเพลิงไหม้โรงงานบางกอกซินเทติกซ์ หรือที่รู้จักกันดีในหมู่พนักงานที่ทำงานภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดว่าโรงงานบีเอสที (BST) ผ่านจากทางโทรศัพท์ของมิตรสหายภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ และข่าวที่กระจายออกตามสื่อต่างๆ ประโคมถึงผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และวิเคราะห์ถึงผลกระทบเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นกับผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบบริเวณพื้นที่ รวมถึงการคาดการณ์ถึงผลกระทบระยะสั้น และระยะยาวที่จะตามมาจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ผมใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงพยายามติดตามถึงสาเหตุ และข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านทางสื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต เนื่องจากการโทรศัพท์ถามผู้ใหญ่ที่สนิทบางท่านในช่วงเวลานี้ไม่ค่อยเหมาะนัก ด้วยเพราะยังอยู่ในช่วงชุลมุน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า และแต่ละท่านก็คงไม่มีเวลา หรือกระจิตกระใจมาเสวนากับอาจารย์ที่อยากรู้อย่างผมมากนัก จนพอจะจับใจความได้จากแถลงการณ์ของบริษัทที่ออกมาถึงสามฉบับ (ณ เวลาประมาณสามทุ่มที่ผมติดตามข่าวอยู่) ได้ว่าเป็นเหตุการณ์การระเบิดบริเวณพื้นที่ที่ใช้เก็บถังบรรจุตัวทำละลาย โดยทราบเบื้องต้นคร่าวๆว่าเป็นตัวทำละลายประเภทโทลูอีน (Toluene) โดยเหตุเกิดขณะที่อยู่ในระหว่างปิดซ่อมบำรุง มีผู้เสียชีวิตเบื้องต้นจำนวน 5 ราย และบาดเจ็บมากถึงกว่า 90 คน เกิดความสับสนอลหม่านของการสื่อสารข้อมูล เนื่องจากเกิดกลุ่มหมอกควันสีดำกระจายปกคลุมในบริเวณกว้าง ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงต้องอพยพ และหลายคนเกิดความผิดปกติของร่างกายจากการสูดดมควันดังกล่าว ผู้เกี่ยวข้องหลายท่าน (ทั้งที่รู้ และไม่ค่อยรู้) ออกมาวิเคราะห์ถึงผลกระทบ ของควันพิษจากการเผาไหม้สารเคมีกันอย่างน่าหวาดกลัว

ผมในฐานะนักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันวนเวียนทำวิจัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวอยู่หลายปี และด้วยพื้นฐานเดิมที่เป็นนักเคมี และวิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ ก็เลยอดไม่ได้ที่อยากจะวิเคราะห์ดังๆ โดยพยายามใช้หลักทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิดข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามข้อมูลที่ได้รับ โดยหวังเพียงจะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจบรรเทาความชุลมุนที่กำลังเกิดขึ้นในเหตุการณ์เฉพาะหน้าดังกล่าวนี้ได้

ต้องอธิบายให้ฟังก่อนว่าบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางที่ทำการผลิตผลิตภัณฑ์หลักของไฮโดรคาร์บอนที่มีจำนวนคาร์บอน 4 ตัวเป็นหลัก (ภาษานักปิโตรเคมีเรียกผลิตภัณฑ์พวกนี้ว่า Mixed C4 เหตุที่เรียกว่า Mixed ก็เพระคาร์บอนจำนวน 4 ตัวดังกล่าวนั้นอาจอยู่ในรูปของไฮโดรคาร์บอนประเภทอัลเคน หรืออัคคีน ปนกันอยู่ในผลิตภัณฑ์) ซึ่งผลิตภัณฑ์พวกคาร์บอน 4 ตัวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมก๊าซแอลพีจี หรือก๊าซหุงต้ม อุตสาหกรรมการผลิตตัวเพิ่มค่าออกเทน (MTBE: Methyl Tertiary Butyl Ether) และ อุตสาหกรรมยางสังเคราะห์ ทั้งยางบิวทาไดอีน และยางสไตรีนบิวทาไดอีน (SBR) ซึ่ง-ภายในกระบวนการผลิตยางสังเคราะห์ของบริษัทนี้ใช้กระบวนการสังเคราะห์แบบสารละลาย คือต้องใช้ตัวทำละลายไปละลายวัตถุดิบตั้งต้น (ภาษาพอลิเมอร์เราเรียกวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตพอลิเมอร์ว่ามอนอเมอร์ ซึ่งสำหรับโรงงานนี้มอนอเมอร์คือ 1,3-บิวทาไดอีน) แล้วใส่ตัวริเริ่มปฏิกิริยาลงไปเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาการสังเคราะห์พอลิเมอร์ให้ได้เป็นยางสังเคราะห์ตามต้องการ ซึ่งตัวทำละลายที่ใช้ก็คือโทลูอีน (โครงสร้างทางเคมีก็เป็นวงแหวนเบนซีนโดยมีกลุ่มเมทิลรวมอยู่ด้วย ตรงนี้อาจจะเข้าใจยากสักนิดหากไม่คุ้นเคยกับวิชาเคมีอินทรีย์นะครับแต่ไม่เป็นไรเอาเป็นว่าสารนี้นะมีวงแหวนเบนซีนรวมอยู่ด้วยก็แล้วกัน ซึ่งเจ้าวงแหวนเบนซีนนี้นะเป็นตัวสำคัญที่เรียกว่าสารก่อมะเร็ง) จากการสืบค้นข้อมูลของโทลูอีนพบว่า เป็นตัวทำละลายที่มีค่าความดันไอต่ำ ติดไฟง่าย มีค่า TLV-TWA (ค่าบ่งบอกปริมาณที่สัมผัสสารเคมีแล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อคนทำงานในระยะเวลา 8 ชั่วโมง) อยู่ที่ 50 ppm ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง หากเทียบกับเบนซีนซึ่งมีค่า TLV-TWA แล้วมีค่าเพียง 0.5 ppm ซึ่งมีค่าสูงมาก (ค่า TLV ต่ำแสดงว่าสัมผัสหรือร่างกายรับได้เพียงนิดเดียวก็สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายของคนที่สัมผัสแล้ว หากมีค่าสูงแสดงว่าปลอดภัยกว่าเพราะรับได้มากกว่านั่นเอง) อันตรายต่อสุขภาพของโทลูอีนเมื่อสูดดมเข้าไปโดยตรงจะก่อให้เกิดการระคายเคือง เกิดอาการปวด และวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และมึนงง แต่หากไปสัมผัสถูกผิวหนังจะก่อให้เกิดการระคายเคือง ทำให้เกิดผื่นแดงได้ หากมีการสูดดม หรือสัมผัสโดยตรงเป็นระยะเวลานานๆ อาจมีผลทำลายอวัยวะภายในประเภท ตับ ไต กระเพาะปัสสาวะ และสมองได้ สารนี้มีความเสถียร (ไม่สลายตัวเป็นสารอื่นในภาวะปกติ) แต่หากเกิดการสลายตัวจากการเผาไหม้อาจทำให้เกิดเป็นออกไซด์ของคาร์บอน และออกไซด์ของไนโตรเจนได้ สารเคมีนี้จัดเป็นสารเคมีอันตรายตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ชนิดที่ 3

เอาละครับรู้ข้อมูลพื้นฐานของเจ้าสารโทลูอีนเบื้องต้นไปแล้ว คราวนี้มาวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวกันบ้างครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดที่บริเวณโรงเก็บสารตัวทำละลายของโรงงาน ซึ่งขณะเกิดเหตุตามที่แถลงการณ์อยู่ในระหว่างช่วงซ่อมบำรุงประจำปีของโรงงาน โดยทั่วไปโรงงานปิโตรเคมีใหญ่เมื่อเดินเครื่องการผลิตไปได้ระยะเวลาตามกำหนดจะต้องมีการปิดซ่อมบำรุงเพื่อทำการตรวจซ่อมบำรุงเครื่องจักร และเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาบางตัวที่ถึงรอบการหมดอายุ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ ในช่วงที่เรียกว่า Shut down ใหญ่แบบนี้ จะมีผู้รับเหมาช่วงเข้ามาในโรงงานค่อนข้างมาก โดยปกติแล้วโรงงานเองจะไม่มีบุคลากรทำการซ่อมบำรุงใหญ่แบบนี้ครับ แต่หากเป็นการซ่อมบำรุงปกติธรรมดาในระหว่างที่มีการเดินเครื่องการผลิต อันนี้จะมีหน่วยซ่อมบำรุงดูแล แต่หากเป็นซ่อมบำรุงใหญ่ต้องทำการตรวจเช็คทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องมีการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงตามความถนัดของแต่ละผู้รับเหมาในการเข้ามาทำการซ่อมบำรุง เมื่อมีคนงานซึ่งไม่ใช่คนงานประจำของโรงงานเข้ามา ต้องเข้าใจครับว่าแต่ละบริษัทรับเหมามีมาตรฐานของเรื่องความปลอดภัยที่ไม่เท่ากัน ยิ่งคนงานเข้ามาเยอะมากๆ ในคราวเดียวกัน และฝ่ายความปลอดภัยของโรงงานเจ้าของหากมีกำลังน้อย หรือไม่เข้มงวดเท่าที่ควรแล้วละก็ ตรงนี้ครับเป็นจุดที่ผมเองก็เคยได้คุยกับเพื่อนภาคอุตสาหกรรมหลายๆ ท่านเหมือนกันว่าเป็นจุดอ่อนของความปลอดภัยมากๆ แล้วผมก็พอคาดเดาถึงเหตุการณ์นี้ได้ว่าคนงานของบริษัทรับเหมาช่วงน่าจะไม่มีความรู้พื้นฐานเพียงพอกับบริเวณพื้นที่ที่ตัวเองกำลังทำงานว่าเป็นพื้นที่ของสารเคมีที่มีไอระเหยและติดไฟได้ง่าย ยิ่งหากทำงานด้วยความประมาทแล้วด้วยละก็ จะยิ่งเป็นการสร้างความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวได้ง่ายขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยทีเดียว ตรงนี้ผมคงวิเคราะห์ได้เพียงเท่านี้ครับเพราะการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น แต่ให้คาดเดาตามความคิดผมก็น่าจะออกมาทำนองนั้น

ต่อไปเมื่อเกิดประกายไฟ บวกกับพื้นที่ปิด ไอระเหยของตัวทำละลาย แน่นอนครับ ว่าต้องเกิดการระเบิดจากแรงอัดของความเข้มข้นของไอ และตัวทำละลายภายในถังบรรจุ เกิดความร้อน เผาไหม้ แน่นอนว่าตัวทำละลายดังกล่าวต้องเกิดการสลายตัว ตามทฤษฎีการเผาไหม้สารอินทรีย์ประเภทไฮโดรคาร์บอนหากเป็นการเผาไหม้โดยสมบูรณ์ต้องได้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำครับ ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์นี้เป็นก๊าซที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์แต่จัดเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีผลต่อภาวะโลกร้อน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นเป็นกลุ่มหมอกควันสีดำ ซึ่งเป็นการเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ครับ ซึ่งแน่นอนรวมกับเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ก็น่าจะได้ออกไซด์ของคาร์บอนตัวอื่น เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ และหากรวมกับไนโตรเจนในอากาศก็ได้ออกไซด์ของไนโตรเจน สูดดมเข้าไปหากเล็กน้อยก็มึนงงครับ มากๆ ก็หมดสติ แต่หากมีไอระเหยของตัวทำละลายปนเข้าไปด้วยสูดดมเข้าไปก็อย่างที่กล่าวข้างต้นครับ มึนงง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปในสู่บริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ และถ่ายเท หากสัมผัสถูกผิวหนังไม่ต้องตกใจให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมากๆ ครับ แต่หากพลาดไปกลืนกิน (กลืนกินโทลูอีนโดยตรงนะครับไม่ใช่กลืนกินควัน) ก็พยายามให้อาเจียนออกมาครับ ตอนเกิดเหตุเห็นว่าฝนตกด้วย ก็หากควันดังกล่าวรวมกับน้ำ หรือไอน้ำก็ตกลงมาบนพื้นดิน หรือแหล่งน้ำครับ ลักษณะก็จะเป็นน้ำที่มีลักษณะของความเป็นกรดเล็กน้อย หากไม่มีสารเคมีอันตรายตัวอื่นปนอยู่ในบริเวณตามที่แถลงการณ์เบื้องต้นออกมา ผมว่าการควบคุมผลกระทบในระยะสั้น และยาวของระบบนิเวศวิทยา ในพื้นที่ไม่น่าเป็นห่วงครับ ด้วยเพราะโครงสร้างสารดังกล่าวเป็นไฮโดรคาร์บอน ซึ่งประกอบด้วยไฮโดรเจน และคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก หากตัวเขาเองปนออกมาด้วย แนวโน้มของการสะสมทางชีวภาพจะต่ำครับ แต่หากลงไปในแหล่งน้ำปริมาณสูงมากๆ อันนี้จะกระทบต่อสิ่งมีชิวิตในแหล่งน้ำครับด้วยเพราะตัวเขาจะระเหยง่าย ซึ่งจะเป็นไอปกคลุมผิวน้ำ แต่ต้องปริมาณสูงมากๆ นะครับ แต่ทั้งนี้ผมเสนอว่าควรมีการตรวจสอบคุณภาพอากาศ และคุณภาพของแหล่งน้ำทั้งน้ำผิวดิน และชายฝั่งของบริเวณดังกล่าวภายหลังเหตุการณ์ควบคุมได้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนครับ

มาถึงตอนท้ายของบทวิเคราะห์กับเหตุการณ์ดังกล่าวเบื้องต้นแล้วครับ ในความคิดผม เหตุการณ์นี้ทำให้ได้บทเรียนเพื่อการป้องกัน ดังนี้

โรงงานที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ควรยกระดับ และสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัยของพื้นที่ ทั้งแผนความปลอดภัย แผนฉุกเฉิน แผนอพยพ ซึ่งแน่นอนครับว่าทุกโรงงานนะมีอยู่แล้ว การนิคมฯ ก็มี แต่ผมอาจจะเน้นที่การสื่อสารสู่ชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ ตรงนี้เรียกกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ครับ

ช่วงระหว่างการซ่อมบำรุงใหญ่ มีผู้รับเหมาช่วงเข้ามาจำนวนมาก โรงงานเจ้าพื้นที่ควรเข้มงวด และมีการ orientation (การกำหนดเป้าหมาย - มติชนออนไลน์) เรื่องของมาตรการความปลอดภัยภายในโรงงานของตนเอง รวมถึงพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยให้กับพนักงานของผู้รับเหมาก่อนที่จะอนุญาตให้เริ่มทำงาน ความเข้มงวดเป็นสิ่งสำคัญ การให้ใบแดงไล่ออกเลยน่าจะเป็นกรณีที่ดีกว่ายื่นแค่ใบเหลืองครับ

เกิดเหตุแล้วการสื่อสารเพื่อลดความตื่นตระหนกถือเป็นเรื่องสำคัญ และต้องเร่งด่วนครับ เพียงแค่ครึ่งวันของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมเองก็ยังไม่ได้รับความชัดเจนเท่าที่ควร โดยเฉพาะการอธิบายทางวิชาการที่สามารถลดแรงเสียดทาน และความตื่นตระหนกของชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบได้ เสนอว่าต้องเร็ว ชัดเจน และมีเหตุมีผลทางวิชาการครับ

การสร้างความมั่นใจในพื้นที่ด้วยการตรวจสอบคุณภาพอากาศ แหล่งน้ำ และสุขภาพโดยรอบของพื้นที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ และต้องทำทั้งในระยะสั้นและยาวครับ อย่าลืมครับถึงแม้โทลูอีนจะอันตรายน้อยกว่าเบนซีน แต่โครงสร้างของเขาเองก็ยังประกอบด้วยเบนซีน ผมเองก็ยังว่าก่อมะเร็งอยู่ดีนะแหละครั

บทความนี้อาจยาวไปสักนิดครับ แต่อยากวิเคราะห์ให้ได้ถึงกึ๋นจริงๆ ไว้เหตุการณ์มีความชัดเจนมากกว่านี้ ผมเองอาจนำข้อเท็จจริงมาวิเคราะห์ให้อ่านกันต่อไปครับ

ผศ.ดร.กิติกร จามรดุสิต

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมนิเวศวิทยาอุตสาหกรรม

คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

22.00 น. วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

-----------------
ภาพจาก apacnews.net

ที่มาเฟซบุ๊ก en_mahidol

สารพิษอะไรบ้างจากเหตุระเบิดโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ BST ที่มาบตาพุด ไม่ชัดเจน

 

สารพิษอะไรบ้างจากเหตุระเบิดโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ BST ที่มาบตาพุด ไม่ชัดเจน



by มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) on Monday, May 7, 2012 at 5:42pm ·


สารพิษอะไรบ้างจากเหตุระเบิดโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ BST ที่มาบตาพุด ไม่ชัดเจน


19.00 น., 5 พ.ค. 55

จากเหตุโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ ของบ. กรุงเทพซินธิติกส์ ระเบิดที่มาบตาพุด ตั้งแต่ช่วงเวลา 15.30 น. ที่ผ่านมาและเพิ่งจะควบคุมเพลิงได้ประมาณเวลา 18.00 น. ทำให้มีผู้บาดเจ็บ47 ราย สาหัส 6 ราย โดย 2 ราย (ตามรายงาน รมช.สาธารณสุข) และมีคำสั่งอพยพ 18 ชุมชนรอบและทิศใต้ลมของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด

[เพิ่มเติมข้อมูล วันที่ 6 พ.ค. 2555 รายงาข่าวระบุยอดผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 127 ราย]

 

3 ชั่วโมงผ่านไป จนถึงขณะนี้ (18.30 น.) แม้ผู้ว่าฯจะประกาศควบคุมเพลิงได้แล้วและประกาศให้รอบนิคมเป็นเขตภัยพิบัติ แต่ยังไม่มีการให้ข้อมูลแก่สาธารณะอย่างชัดเจนว่าสารพิษที่รั่วไหลและฟุ้งกระจายไปกับกลุ่มควันและการระเบิดครั้งนี้เป็นสารอะไรบ้าง (บ้างก็ว่าเป็นสารก่อมะเร็ง บ้างก็ว่าเป็นสารทพให้ระคายเคืองผิว)  เหตุการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าทั้งภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ยังบกพร่องในการให้ข้อมูลแก่ประชาชนเรื่องสารพิษจากโรงงาน โดยเฉพาะโรงงานที่มีการผลิตและการใช้หรือปลดปล่อยสารพิษจำนวนมากเช่นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงได้ตลอดเวลาและโดยง่าย เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเหตุโรงงานระเบิดครั้งนี้ได้ 

 

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าสารพิษซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและอันตรายระยะยาว ที่อาจมีการใช้หรือเกิดในกระบวนการผลิตของโรงงานบริษัทกรุงเทพซินธิติกส์ที่มาบตาพุดได้แก่ เช่น BTEX (Benzene เบนซีน, Toluene โทลูอีน, ethylbenzene เอธิลเบนซีน, Xylene ไซลีน), Hexane เฮกเซน รวมถึงอาจมีการใช้ 1,2-Dichloroethane และ 1,3-Butadiene ซึ่งเป็นสารที่อันตรายทั้งเฉียบพลันและระยะยาวในกระบวรการผลิตด้วย ส่วนการเผาไหม้ของยางรถยนตร์สามารถทำให้เกิด PAHs (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) ซึ่งสารในกลุ่มนี้หลายตัวจัดเป็นสารก่อมะเร็งด้วยเช่นกัน 

 

ตัวอย่างข้อมูลเกี่ยวกับอันตราย ความเป็นพิษ และความปลอดภัย ของสารเคมีที่กล่าวถึง

Benzene ดูได้จาก http://www.chemtrack.org/Chem-Detail.asp?ID=00289&CAS=&Name=

1,2 Dichloroethane ดูได้จาก http://www.chemtrack.org/Chem-Detail.asp?ID=00709&CAS=&Name=1,2-Dichloroethane 

1,3-Butadiene http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=1&ID=28

Toluene ดูจาก http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=1&ID=48  http://www.chemtrack.org/Chem-Detail.asp?ID=02040 

Hexane ดูจาก http://www.chemtrack.org/Chem-Detail.asp?ID=01030 

Xylene ดูจาก http://www.chemtrack.org/Chem-Detail.asp?ID=02141 

 

เกี่ยวกับโรงงานทีีเกิดเหตุ 

บจก.กรุงเทพ ซินธิติกส์ หรือ Bangkok Synthetics Co., Ltd. (http://www.bst.co.th/

ผลิต Mix C4 รายแรกของไทยและส่งออกรายใหญ่ที่สุดใจภูมิภาค และโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ S-SBR (Solution Polymerization Styrene-Butadiene Rubber) แห่งแรกในประเทศไทย ร่วมทุนกับ JSR ของญี่ปุ่น (ทำสัญญาเมื่อ มีนาคม 2554) และอยู่ในช่วงระหว่างการดำเนินงานก่อสร้างโรงงานผลิต NB Latex ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตถุงมือทางการแพทย์ (ที่มา http://www.newswit.com/prop/2011-03-07/4d70660d9e328f7284e30c6395b9eef4/

ทะเบียนโรงงาน น.42 (1)-15/2537-ญนพ.  ระบุว่าผลิต Mixed C4 (MTBE,BUTANE-1,BUTADIEN) เป็นโรงงานประเภท 4201 (การทำเคมีภัณฑ์ สารเคมี หรือวัสดุเคมี) (ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าโรงที่ผลิตยางรถยนตร์และ Latex สังเคราะห์ จดทะเบียนเดียวกันหรือจดทะเบียนแยก)

 

ผังกระบวนการผลิตแผนกผลิตยางสังเคราะห์ที่คาดว่าเป็นต้นตอปัญหา 

http://www.bst.co.th/product.aspx?cate=2

 

 


เวปไซต์บริษัท BST


https://www.facebook.com/note.php?note_id=373153622719868

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Re: ไว้อาลัยต่อการละเบิกโรงงานกรุงเทพซินเนติกมาบตาพุดกับ 19ปีเคเดอร์




 

From: wept_somboon@hotmail.com
To:
Subject: ไว้อาลัยต่อการระเบิดโรงงานกรุงเทพซินเนติกมาบตาพุดกับ 19 ปีเคเดอร์

Date: Sun, 6 May 2012 07:42:07 +0700

       ตายกี่ศพสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ถึงจะเกิด  
               อีก 5 วันจะครบรอบจัดงาน 19 ปีเคเดอร์ เรื่องสลดใจเป็นเหตุระเบิดโรงงานกรุงเทพซินเนติก BSTเมื่อวานเป็นโศกนาฎกรรมที่มีคนตายทันที 5ศพ สาหัส 2ประสบอันตรายเจ็บกระทันหันเข้า รพ. 92 ราย อพยพคนในชุมชนออก 12 ชุมชน เป็นเรื่องใหญ่มากๆ และ เจ้าหน้าที่ หรือสื่อมวลชน ที่เข้าไปดู คนเหล่าจะได้รับสารเคมีเข้าไป เพราะกลิ่นก๊าซพิษลอยคละคลุ้งไปเป็น 10กก.ซึ่งไม้รู้ว่า อีกระยะ 10 ปีต่อมาพวกเขาเกิดเป็นมะเร็งก็ไม่สามารถเรียกร้องเอาค่าเสียหายรักษาพยาบาลเอากับใครได้ เพราะหลักฐานมันหายไป
 
กับกาลเวลาที่ล่วงเลยไป รัฐไม่มีระบบติดตามตรวจสอบผลกระทบระยะยาว เพราะขาดบุคลากร แค่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็แทบรับมือไม่ไหวแล้ว จะเข้าไปดูก็จะไปทนสูด
 
อากาศพิษไม่ไหว ขนาดไม่ได้ระเบิดแค่สารเคมีรั่วไหล เมื่อครั้งก่อนๆ ยังส่งผลให้คนในชุมชนต้องล้มป่วยแล้วนี่ระเบิดขนาดนี้ มันย่อมกระทบผู้คนจำนวนหลายพันคน 
               นิคมอุตสาหกรรมเกือบทุกที่ จะปลอดเรื่องการดูแลควบคุมจากภาครัฐ ปลอดกฎหมายปล่อยให้นิคม ขูดรีดคนงานอย่างสุดๆ รัฐจะอ้างปัดความรับผิดชอบเสมอว่า ในนิคมขนาดใหญ่นั้นเรื่องความปลอดภัยได้มาตราฐานไม่มีปัญหา แต่แท้จริงแล้วรัฐจะเปิดโอกาสให้พวกนายทุนรู้สึกว่า มาลงทุนสร้างนิคมอุตสาหกรรมกันมากๆ เถอะ รัฐพยายามเปิดทางลดช่องว่างทุกอย่างเพื่อ่ชวนเชื่อโดยไม่คำนึกถึงคนงานที่เป็นลูกหลานคนไทยต้องเสี่ยงภัยกับการสูญเสียสุขภาพ เพียงใดขนาดไหน มองดูชีวิตลูกหลานคนงานไทยมันช่างดูด้อยค่าเสียจริงๆ เพียงค่าแรงไม่กี่บาทที่ต้องยอมทำงานอย่างหักโหมถึงวันละ 16 ชั้วโมงเพื่อแลกกับรายได้ที่จะเอาไปจุนเจือครอบครัว
                สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่เครือข่ายแรงงาน นักวิชากากรด้านแรงงาน สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วย ฯ ต้องออกแรงและลงทุนด้วยน้ำพักน้ำแรงานกลุ่มคนป่วยอย่างมหาศาล แบบกัดไม่ปล่อยติดตามผลักดันอย่างจริงจังต่อเนื่องมายาวนานย่างเข้า 19 ปี จะใกล้คลอดได้แล้วหรือศูนย์ข้อมูลรับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อให้เข้ากับวัตถุประสงค์สถาบันฯ ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลและสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยในสถานประกอบการ เพื่อทำการป้องกันแก้ไขปัญหาสุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน ต้นตอของปัญหาแบบสดๆ เท่าทันข้อมูลครบถ้วน ไม่บิดเบือนความจริง และการสรรหากรรมการที่มีจิตใจทัศนคติต่อเรื่องความปลอดภัยเข้าไปบริหารสถาบันฯนี้ หากยังจัดการและนำคนที่ไม่เข้าใจ เฉื่อยชา ต่อปัญหาเรื่องสุขภาพ กระนั้นการร่างกฏหมาย พรฏสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯฉบับนี้ รัฐก็ยังปฎิเสธเนื้อหาสำคัญที่เป็นข้อเสนอของเครือข่ายแรงงาน นักวิชาการแรงงาน ไม่ยอมใส่ความปลอดภัยแบบลากตั้งกันเข้าไปแล้ว สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ก็คง เป็นเสมือนสถาบันฯที่มีความสำคัญเป็นเพียงแค่รถคันหนึ่งที่ขาดตัวเครื่องกลที่จะขับเคลื่อนบริหารจัดการนโยบายสำคัญของสถาบันฯ 
 
ขาดสมองที่บัญชาการงานด้านความปลอดภัยได้ รถเก่าๆ คันนั้นก็จะจอดสนิทโดยสิ้นเชิง จากการศึกษาข้อมูลของกองทุนปี 2553 คนงานภายใต้การคุ้มครองของกองทุนเงินทดแทน 8,177,618 รายที่ทุพลลภาพเข้าใช้สิทธิจากกองทุนเงินทดแทนได้ 146,511รายคิดเป็นอัตราการประสบอันตรายต่อลูกจ้าง 1000 คนประสบอันตราย 17.92ราย
 
รัฐสูญเสีค่าทดแทนไปกว่า 1,500 ล้านบาทซึ่งไม่นับคนงานที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิกองทุนเงินทดแทนได้และเป็นจำนวนอีกเท่าไหร่ที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิกองทุนเงินทดแทนได้นั้นเป็นตัวเลขที่หายไปอีกนับไม่ถ้วน ในจำนวนนั้นพวกเขากำลังเจ็บป่วยถูกเลิกจ้างปลดออกจากการทำงานอย่างไร้ความชอบธรรม กำลังอยุ่ระหว่างอุทธรณ์คำวินิจฉัยของกองทุน ต่อสู้คดี และกำลังฟ้องนายจ้างเพื่อให้นายทุนรับผิดชอบต่อความบกพร้องละเลยของสถานประกอบการ ซึ่งคนงานเหล่านั้นใจจริงเขาไม่ได้อยากมีคดีหรือมีปัญหาถึงโรงถึงศาลอะไรเขาก็คือคนงานที่อยากเอาเวลามาประกอบอาชีพแบบปกติ แต่เมื่อต้องสูญเสียสุขภาพอวัยวะประกอบอาชีพไม่ได้ทั้งยังต้องรักษาตัวต่อเนื่องจึงทำให้พวกเจาต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อ
 
สิทธิขั้นพื้นฐานตามกฏหมายเท่านั้น
               ในวาระจะครบรอบ 19 ปี โศกนาฎกรรมโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ไฟไหม้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2536 ที่ทำให้คนงานวัยหนุ่มสาวต้องสังเวยชีวิตไปแบบไม่ทันตั้งตัวถึง 188 ศพ ต้องบาดเจ็บสูญเสียสุขภาพอวัยวะ 469 ราย พี่น้องที่พึ่งเสียชีวิตที่โรงงานกรุงเทพซินเนติก ฯ และจากพื้นที่อุตสาหกรรมอื่นๆ ทั่วประเทศ สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ต้องขอคาราวะดวงวิญญานของพี่น้องคนงานเหล่านั้น ที่ต้องล้มตายและเสียชีวิต ด้วยการประสบอันตรายและเจ็บป่วยด้วยโรคจากการทำงาน รวมทั้งครอบครัว ขออุทิศส่วนบุญกุศลที่องค์กรผู้ถูกผลกระทบได้ทำไปตลอดระยะเวลา 19 ปียังผลให้ดวงวิญญาณพี่น้องแรงงานทั้งหลายที่กำลังทุกข์อยู่ได้มีความสุขพ้นทุกข์ที่มีความสุขให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปและขอบุญกุศลที่องค์กรผู้ป่วยฯได้อุทิศในการทำประโยชน์ในการช่วยพี่นน้องให้ได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายและทุ่มเททำงานผลักดันนโยบายเพื่อคุ้มครองสุขภาพพี่น้องคนงานเหล่านี้ จงบังเกิดให้สิ่งที่มุ่งหวังให้รัฐจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ได้คลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ตามที่เครือข่ายแรงงานต้องการโดยเร็วพลัน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการทำงานปกป้องคุ้มครองพัฒนาส่งเสริมด้านสุขภาพความปลอดภัยในการทำงานของผู้ใช้แรงงานในอนาคตต่อไป
 

สมบุญ สีคำดอกแค
ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
โทรศัพท์ติดต่อ 081-813-28-98
 
begin_of_the_skype_highlighting  081-813-28-98  
 
end_of_the_skype_highlighting
 

 

สุขภาพดีคือชีวิตที่มั่นคง ความปลอดภัย คือ หัวใจของการทำงาน
 


 


 

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. ....

  ความรุ้เรื่อง
ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. ....
โดยที่มาตรา ๕ ประกอบมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานให้นายจ้างดำเนินการในการบริหารและจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. .... กระทรวงแรงงานจึงได้ยกร่างกฎกระทรวงฯดังกล่าวเพื่อคุ้มครองลูกจ้าง สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://www.lawamendment.go.th/

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

บทความ: กฎหมายแรงงานใหม่คุ้มครองแรงงานหญิง

 บทความ: กฎหมายแรงงานใหม่คุ้มครองแรงงานหญิง


บทบาทของผู้หญิงในปัจจุบันมีความสำคัญและเป็นอีกแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 พบว่ามีแรงงานสตรีที่อายุ 15 ปีขึ้นไป 17.43 ล้านคน จากทั้งหมด 38.25 ล้านคน กฎหมายไทยให้ความสำคัญกับแรงงานหญิง ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้วางกำหนดกฎเกณฑ์คุ้มครองแรงงานหญิงไว้หลายประการ
ประการแรก ห้ามลูกจ้างหญิงทำงานอันตราย เช่น งานเหมืองแร่ หรืองานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขา งานที่ต้องทำบนนั่งร้านสูงกว่าพื้นดินตั้งแต่สิบเมตรขึ้นไป งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่ลูกจ้างหญิงที่ทำงานด้านวิชาชีพ หรือวิชาการที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงจะอนุญาตให้ทำงานด้านการผลิตวัตถุไวไฟได้
ประการที่สอง ห้ามลูกจ้างหญิงทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 ประเภทคือ
1. ทำงานช่วง 22.00 – 06.00 น.
2. ทำงานล่วงเวลาเว้นแต่ลูกจ้างหญิงที่ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ งานบัญชีหรือการเงิน ทำงานล่วงเวลาได้ โดยลูกจ้างหญิงนั้นยินยอมทำ
3. ทำงานในวันหยุด
4. ทำงานอันตรายต่อหญิงมีครรภ์อย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 อย่าง
(1) งานเกี่ยวกับเครื่องจักรเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
(2) งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ
(3) งานยก แบก หาบ หาม ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกินสิบห้ากิโลกรัม
(4) งานที่ทำในเรือ
(5) งานอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง
หากนายจ้างฝ่าฝืนมีโทษขั้นต่ำปรับไม่เกิน 5,000 บาท โทษสูงสุดจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่กฎหมายก็ยกเว้นให้สำหรับงานล่วงเวลาที่นายจ้างอาจให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานได้เช่น ลูกจ้างที่ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ รวมทั้งงานเกี่ยวกับการเงินหรือบัญชี สามารถทำงานล่วงเวลาในวันทำงานได้ (ไม่ใช่ล่วงเวลาในช่วงวันหยุด) โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งตั้งครรภ์ไปหาหมอแล้วมีใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งมาแสดงว่าไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมได้อีกต่อไป (เพราะอาจส่งผลต่อทารกและสุขภาพของเธอ) ลูกจ้างคนนั้นมีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยนงานในหน้าที่เดิมชั่วคราวในช่วงก่อนหรือหลังคลอด แล้วให้นายจ้างพิจารณาเปลี่ยนงานที่เหมาะสม ถ้าหากลูกจ้างหญิงขอเปลี่ยนงานแล้วนายจ้างไม่ให้ (ทั้ง ๆ ที่เธอมีใบรับรองแพทย์)
หากนายจ้างฝ่าฝืนมีโทษขั้นต่ำปรับไม่เกิน 5,000 บาท โทษสูงสุดจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับครับ
นายจ้างปลดลูกจ้างเพราะเหตุตั้งครรภ์ไม่ได้ ฝ่าฝืนมีโทษขั้นต่ำปรับไม่เกิน 5,000 บาท โทษสูงสุดจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับครับ
นอกจากได้รับการคุ้มครองระหว่างการทำงานแล้ว กฎหมายยังคุ้มครองลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ให้มีสิทธิลาคลอด (ในแต่ละครรภ์) ได้ไม่เกิน 3 เดือน โดยมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 45 วัน นอกจากนี้ ในบางหน่วยงานก็จะให้สิทธิพิเศษ เพิ่มเติมในเรื่องการลาคลอดอีก (แล้วแต่ข้อกำหนดในการให้สิทธิลูกจ้างของหน่วยงานนั้น ๆ
ประการที่สาม นายจ้างต้องเปลี่ยนเวลาหรือลดเวลาทำงานเมื่อลูกจ้างหญิงทำงานในช่วงเวลา 24.00 – 06.00 น. แล้วพนักงานตรวจแรงงานเห็นว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างหญิง เช่น ทำงานเลิกตอนตีสอง แล้วไม่มีหอพัก ไม่มีรถรับส่ง ลูกจ้างหญิงต้องเดินทางกลับคนเดียวเข้าอยู่เปลี่ยว จะเจอเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นไม่อาจเดาได้ พนักงานตรวจแรงงานอาจสั่งให้ลดเวลาทำงานเหลือ 22.00 น. เป็นต้น

 
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / สนข.   Rewriter : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / สนข.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th



 วันที่ข่าว : 17 เมษายน 2555 

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

วุ้นลูกตาเสื่อม (Vitreous degeneration)

วุ้นลูกตาเสื่อม (Vitreous degeneration)

วุ้นลูกตาเสื่อม


ข้อมูลจาก Forward Mail 
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต 


          เนื่องด้วยปัจจุบันได้มีร้านอินเตอร์เน็ตหรือร้านเกมส์เยอะและมีคนเล่นเกมส์และเน็ตเป็นเวลานานรวมถึงคนที่ทำงานที่ต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน ควรพึงระวังไว้เกี่ยวกับโรคภัยที่จะตามมากับการอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ


          เตือนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อย ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมส์ หรือใช้ว่าทำงานลองอ่านดูนะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค "วุ้นในลูกตาเสื่อม" ถึง 14 ล้านคนแล้วครับจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์?? นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับ คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก็เป็นจะมากขนาดไหน


          ผมคิดว่า ในขณะที่คุณอ่านข้อความของผมนี้จากทางเนตบางคนก็เป็นแต่ไม่รู้ตัวครับ


          อาการก็คือ : คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก้อคือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด (ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?)


          สาเหตุของโรคนี้คือ : การใช้สายตามากเกินไป (เล่นคอม)


          แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม


          คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์,อ่านไดอารี่,อ่านบทความ,อ่านหนังสือ หรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่


          แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน )


          บวกกับลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์ หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน


          แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้างหรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตาจะต้องลากลูกตา เลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้นบางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้วว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จคุณจะปวดตามากๆ  


          อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด


          เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ เป็นสีกำแพง เป็นสีปราสาท มันจะให้สีสวยสดดี แต่การทำแบบนี้มีข้อเสียคือ บางทีคุณหรือพี่น้องของคุณมาใช้คอมเครื่องนั้นต่อ จะทำให้บางครั้งลืมปรับความสว่างกลับมาให้มืดเหมือนเดิม จากที่แค่สว่างพอที่จะพิมพ์รายงาน กลายเป็นจ้องจอสว่างจ้าตลอดคืนไม่รู้ตัว สรุปก็คือ


          1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก "ทำให้สายตาเสีย"


          2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เองที่ทำให้สายตาเสีย ถ้าคุณอ่านหนังสือจากเวปมากๆ คุณจะติดนิสัยเสียอย่างนึงติดตัวไปคือ คุณจะติดนิสัย มองอะไรก็ตาม ไม่ว่าใกล้ไกล จะปรับโฟกัสมองเพ่งอยู่เสมอ ผลก็คือ กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก คุณจะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ คุณจะไม่สามารถปรับโฟกัส มองของใกล้ แล้วมองไกล ได้ทันทีเหมือนเคย (กล้ามเนื้อประสาทลูกตาจะล้า การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)


          3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา "ทำให้สายตาเสีย"


          4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว "ทำให้สายตาเสีย" ข้อนี้คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวีในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน


          5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12 นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา) แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมาเป็นพันๆ ครั้ง และถ้าเป็นปี หรือ หลายปี ติดต่อกัน สายตาคุณเสียแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะอ่านหนังสือจากจอคอมขนาดของจอคอมของคุณต้องไม่เกิน 15 นิ้ว


          ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่าน การเขียนทั่วไป จึงมีขนาด A4 ? (คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดี ในการกวาดสายตามอง ยังไงล่ะครับ)


          และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมคุณที่จะเอามาอ่านหนังสือ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวัน ง่ายๆ นั้น จะเป็นสาเหตุ ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!  


          ผมจึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหาข้อมูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่าน อะไรก็ตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่ หนังสือบนเนต คุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิม ลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะ เพื่อสุขภาพตา  


          ปกติที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ (Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก (Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก (Posterior vitreous detachment)


          คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ


          ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก


คนที่มีสายตาสั้นมากๆ 
เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง 
เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา 
เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก 
คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง 
คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก 


          คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป


การป้องกัน


          จากที่ได้อ่านที่ดอสโพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง


          การเห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ


          แต่ถ้าเห็นFloater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือเปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ


การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์


          จากการที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับสุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนี้


          1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว  


          2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ  20-26 องศา  


          3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก  


          4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย  


          5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ  


          6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย  


          7. กะพริบตาบ้าง  ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว  


          8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน  ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ  


          9. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น


          การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป 


โรค DVT



ต่อไปเป็นท่าการบริหารสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน 


 

http://hilight.kapook.com/view/23928